++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

ปลูกหญ้าแฝกในสวนพริกไทย แก้จนได้ : นายบุญชัย กิ่งมณี

พื้นที่อำเภอท่าใหม่เป็นพื้นที่ส่งเสริมการปลูกพริกไทยของจังหวัดจันทบุรี อันขึ้นชื่อของประเทศมากว่า 30 ปีแล้ว พริกไทยเป็นพืชส่งออกตั้งแต่ครั้งอดีต สามารถนำเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนปีละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เกษตรกรที่ปลูกพริกไทยในจังหวัดจันทบุรีมักจะได้รับการสั่งสอนจากบรรพบุรุษ ครั้งรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ว่าไม่ควรให้มีวัชพืชขึ้นบริเวณร่องสวนหรือโคนต้น ทั้งนี้เพื่อให้เก็บเกี่ยวง่าย และเป็นการอวดว่า สวนพริกไทยสะอาดสะอ้าน เกษตรกรที่เป็นเจ้าของนั้นมีความขยันขันแข็ง หากสวนของใครปล่อยให้ใบพริกไทยร่วงปกคลุมร่องสวนหรือโคนต้นหรือมีหญ้าขึ้นก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ “เกียจคร้าน”

แนวทางการปฏิบัติดังกล่าว ทำให้ นายบุญชัย กิ่งมณี สังเกตว่า การที่ทำให้ดินเปลือยไม่มีหญ้าหรือวัสดุมาปกคลุมดิน และการที่เกษตรกรได้กวาดใบของพริกไทยออกไปทิ้งแล้วซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวดินด้านบนมีความกระด้างเป็น “ดินดาน” ดินขาดอินทรียวัตถุอย่างรุนแรง เมื่อรด น้ำ น้ำไม่สามารถซึมลงไปด้านล่างได้ นานวันเข้าผิวหน้าดินจะแน่นทึบและแข็ง และจะทำให้พริกไทยเป็นโรครากเน่าตายได้ง่าย จึงได้คิดค้นวิธีการที่ทำให้ราก พริกไทยไม่เน่าโดยการปลูกหญ้าแฝกรอบๆหลุมพริกไทย ก่อนที่จะทำพริกไทยมาปลูก ทั้งนี้เพื่อให้จุลินทรีย์ไตรโคเดอมา ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณ รากของหญ้าแฝกได้เจริญและอาศัยอยู่ในดิน และจุลินทรีย์ ไตรโคเดอมาเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อไฟท็อป- โทร่า ซึ่งเป็นสาเหตุของโรครากเน่าขอวงพริกไทยได้

ในบริเวณสวนพริกไทย ได้มีวิธีการจัดการเสียใหม่โดยการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดินไม่ให้ขาดอินทรีย์วัตถุ ไม่กวาดใบพริกไทยทิ้ง หากแต่ปล่อยไว้ให้เป็นอินทรีย์วัตถุและปกคลุมดิน ปลูกหญ้าแฝกแซมบริเวณร่องสวนเป็นระยะและตัดใบหญ้าแฝกคลุมดินไม่ให้ดินเปลือย และใช้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งผลิตเองร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และปุ๋ยคอกในการปรับปรุงบำรุงดิน

ปัจจุบัน นายบุญชัยเป็นหมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน และเป็นประธานกลุ่มสาธิตเศรษฐกิจชุมชน (ผลิตพริกไทย) ตำบลรำพัน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ปลูกพริกไทยที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 6 ไร่ และกำลังขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นอีกโดยจะเริ่มปรับปรุงบำรุงดินด้วยการปลูกถั่วพร้าและใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ จากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินและปลูก “หญ้าแฝก” รอบๆหลุมพริกไทยก่อนที่จะมีการปลูกพริกไทยเพื่อป้องกันโรครากเน่าของพริกไทย มีรายได้หลักจาการขายพริกไทยปีละประมาณ 200,000 บาท

นายบุญชัย กิ่งมณี หมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน
25/2 หมู่ 7 ตำบลรำพัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

สวรรค์บนดิน....สวรรค์(ในสวน) ของคนเดินดินที่บุรีรัมย์ : นายคำเดื่อง ภาษี

พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักขึ้นชื่อในเรื่องของความแห้งแล้งอย่างเห็นได้ชัดในช่วงฤดูแล้ง แต่พอถึงฤดูน้ำหลากก็จะมีฝนที่ตกลงมาอย่างมากมายจนบางปีก็เกิดปัญหาน้ำท่วมให้ต้องแก้ไขไม่หยุดหย่อน

พ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้านแห่งจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้คิดค้นวิธีการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งโดยอาศัยความจำกัดของธรรมชาติ กล่าวคือ ในฤดูน้ำท่วมจะมีเศษวัชพืช เช่น จอกลอยตามน้ำมา การนำจอกที่ถูกน้ำพัดพามา กองรวมกันตามโคนต้นไม้ ทำให้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ และต้องใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพหรือประหยัด เมื่อนำน้ำไปรดลงบริเวณโคนต้นไม้ที่ถูกคลุมด้วยจอก รดเพียงแค่พอเปียกก็สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นานหลายวันเป็นการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด

นอกจากนี้ความคิดยังขยายออกไปถึงการวางแผนว่าทำอย่างไรจึงจะมีอาหารรับประทานอย่างอุดมสมบูรณ์ทุกวันได้ตลอดปีโดยไม่มีอด โดยการวางแผนการออกแบบแปลงเกษตรเสียใหม่ ให้หยิบใช้ง่ายและตอบสนองความต้องการอาหารในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงฤดูกาลที่มีความแตกต่างกันอีกด้วย

วิธีการก็คือ คิดและวางแผนว่า ตัวเองชอบทานอะไร ก็จะปลูกสิ่งนั้น และทำความรู้จัก กับพืชทุกต้นที่ปลูกทุกต้นอย่างชนิดที่เรียกว่า “รู้จริง” กล่าวคือ เมื่อเป็นพืชสวนครัวก็ต้องรู้ว่า พืชชนิดนั้นใช้ประโยชน์อย่างไร ต้องการน้ำมากน้อยแค่ไหน ต้องปลูกอย่างไร ไว้ที่ไหนโดยไม่ต้องอาศัยน้ำมาก

ส่วนไม้ดอกชนิดใดปลูกอย่างไรชอบแสงแดดหรือไม่ชอบ เจ้าของชอบไม้ดอกสีอะไร ดอกจะออกในช่วงไหน ดอกมีกลิ่นหอมหรือไม่ และลมในแต่ละฤดูกาลพัดจากทิศไหนไปทิศไหน และต้องพัดผ่านดอกไม้ชนิดใด และต้องปลูกไม้ขนาดใหญ่เพื่อให้อาศัยเป็นร่มเงาในยามที่แดดร้อนจัดอีกด้วย

เมื่อเป็นไม้ผล ก็ต้องเลือกปลูกที่เจ้าของรู้จักชอบรับประทานและจัดวางแผนการปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่

จากการจัดการในเรื่องน้ำและการจัดการแปลงเกษตรตามแบบผสมผสาน รวมทั้งการเลี้ยงปลา ทำให้มีอาหารรับประทานอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาลไม่อดอยากและมีพื้นที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำมาก หากแต่ต้องจัดวางระบบให้เหมาะสม เริ่มต้นที่ความคิดแล้วลงมือปฏิบัติและเมื่อเวลาผ่านไป หากเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างยังถูกจัดวางไม่เหมาะสมก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปทีละเล็กละน้อย อาศัยเวลาและความรู้และประสบการณ์ที่ได้ รู้จัก กับ ต้นไม้แต่ละชนิด และข้อจำกัดของธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป

นายคำเดื่อง ภาษี
ครูภูมิปัญญาชาวบ้าน ผลงานระดับดีเด่นแห่งชาติหลายรางวัล
40 หมู่ 8 บ้านโนนเขวา ต.หัวฝาย
กิ่ง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

กินเนื้อเป็นภัยกระดูกผู้หญิงแก่

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯได้บอกเตือน หลังจากที่ศึกษากับผู้หญิงที่มีวัยระหว่าง 65 - 80 ปี จำนวนไม่ต่ำกว่า 1 พันคน โดยการสอบถามด้วยแบบสอบถาม พบว่า ผู้หญิงสูงงอายุที่ชอบกินเนื้อสัตว์หรืออาหารจากเสื้อสัตว์มากกว่าผัก เสี่ยงกับการสูญเสียเนื้อกระดูกเร็วกว่าผู้ที่บริโภคผักมากกว่าถึง 3 เท่า แต่ผู้เชี่ยวชาญได้บอกทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ ว่าควรเลิกกินเนื้อสัตว์และนมเนยเสียเลย หากแต่ควรหันมากินผักและผลไม้กันให้มากขึ้น

ศาสตราจารย์ วิชาโรคกระดูกกล่าววิจารณ์ว่า ตัวการใหญ่ของเนื้อสัตว์ที่บ่อนทำลายกระดูก อาจเป็นปริมาณของกรดที่รบกวนสุขภาพของกระดูก พืชผักแม้จะมีกรดเหมือนกัน แต่มันมีสารทไบคาร์บอเนต ที่ช่วยล้างฤทธิ์กรดลง "ร่างกายของเรา คอยระวังรักษาปริมาณกรดเอาไว้ โดยไตจะช่วยปรับด้วยการขับกรดออกทิ้งทางปัสสาวะ แต่เมื่อเราแก่ลง ไตก็อ่อนแรงในการทำงานไปด้วย"

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

กินผงชูรสมากระวังป่วยเป็นโรคภัตตาคารจีน

กรมอนามัยเตือนผู้บริโภคชอบกินอาหารใส่ผงชูรสระวังอันตราย ชี้หาก
บริโภคปริมาณ มากเกินไปมีโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ หรือป่วยเป็น
"โรคภัตตาคารจีน" ได้ ย้ำผงชูรสไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แถมยังมี
อันตรายต่อสุขภาพหากบริโภคผงชูรสปลอม โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ควร
หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดเพราะอาจส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีอาการผิดปกติทางสมอง

น.พ.มานิต ธีระตันติกานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย
เปิดเผยว่า ปัจจุบัน อาหารที่ขายหรือการทำอาหารรับประทานเอง ยังนิยมที่จะใส่ผงชูรสใน
ปริมาณที่มาก โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อย แต่ไม่ได้คำนึงถึง
อันตรายที่จะเกิดขึ้นตามมา
ทั้งนี้ ในความเป็นจริงนั้น ผงชูรสนับสารเคมีที่ละลายไขมันให้ผสมกลม
กลืนกับน้ำ ทำให้มีรสเหมือนน้ำต้มเนื้อและกระตุ้นปุ่มปลายประสาทของลิ้น
กับคอ ทำให้อาหารมีรสหวานอร่อย แต่หากบริโภคมากเกินไปอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้
โดยเฉพาะอาการแพ้ผงชูรสที่เรียกว่าไชนีสเรสเตอรองท์ ซินโดรม หรือรู้
จักกันในชื่อของ "โรคภัตตาคารจีน" ซึ่งจะปรากฏอาการชาที่ปาก ลิ้น ปวด
กล้ามเนื้อ บริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอกหัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่
สะดวก ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ
นอกจากนี้ บริเวณผิวหนังบางส่วน อาจมีผื่นแดง เนื่องจากเส้นเลือด
รอบนอกบางส่วนขยายตัว และในผู้ที่มีอาการมากๆ จะชาบริเวณใบหน้า หู
วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว จนอาจเป็นอัมพาตตามแขนขาชนิดชั่วคราวได้ แต่
อาการเหล่านี้จะหายเองภายในเวลา 2 ชั่วโมง และไม่มีอาการ แทรกซ้อนอื่นๆ อีก

อย่างไรก็ดี อยากจะเตือนหญิงมีครรภ์ไม่ควรบริโภคผงชูรสเด็ดขาด
เพราะอาจส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีอาการผิดปกติทางสมอง และอาจทำให้
ทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้ ส่วนทารกแรกเกิดหากได้รับประทานผงชู
รสเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสมองในเด็กวัยนี้อีกด้วย

น.พ.มานิต กล่าวอีกว่า จากความนิยมบริโภคผงชูรสกันอย่างแพร่หลาย
ในขณะนี้ ทำให้ผู้ผลิตบางรายใช้สารปลอมปนในผงชูรสเพื่อลดต้นทุนการ
ผลิต โดยสารที่ใช้ มีทั้งที่เป็นวัตถุไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ได้แก่
เกลือ น้ำตาล แป้ง และวัตถุที่เป็นอันตราย เช่น บอแรกซ์ ซึ่งเป็นสาร
ห้ามใช้ในอาหาร เพราะหาก ร่างกายได้รับในปริมาณสูงอาจทำให้เสียชีวิตได้
หรือถ้าได้ รับในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งจะสะสมในร่างกาย ก่อให้เกิดอาการพิษแบบ
เรื้อรัง ทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย สับสน ระบบย่อยอาหารถูกรบกวน ผิว
หนังอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีสารอีกชนิดที่นิยมใส่ปะปนในผงชูรสคือ โซเดียมเมตาฟอสเฟต
ซึ่งปกติจะใช้เป็นน้ำยาล้างหม้อน้ำรถยนต์เมื่อรับประทานเข้าไปจะ
ออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ ผู้บริโภคว่าผงชูรส ที่ใช้นั้นปลอด
ภัยจากสารปลอมปนหรือไม่ สามารถตรวจสอบ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ให้นำ
ผงชูรสที่สงสัยประมาณครึ่ง ช้อนชาใส่ลงในช้อนโลหะเผาจนไหม้
หากเป็นผงชูรสแท้สารนั้นจะไหม้ไฟเป็นถ่านสีดำที่ช้อน แต่ถ้าเป็นผงชู
รส ที่มีส่วนผสมของบอแรกซ์หรือโซเดียม เมตาฟอสเฟตผสมอยู่ จะพบว่า
มีทั้งส่วนที่ไหม้เป็นสีดำ และส่วนที่เหลือค้างเป็นสีขาวที่ช้อน การบริโภคผงชู
รสมากเกินไปนอกจากจะเสี่ยงต่ออาการแพ้ผงชูรสแล้ว ยังเสี่ยงต่อการได้รับ
อันตรายจากผงชูรสชนิ ดปลอมปนด้วย ดังนั้น แม่บ้านที่มีฝีมือในการปรุงอาหารหรือใช้น้ำเคี่ยวกระดูกสัตว์อยู่
แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ผงชูรสในการปรุงประกอบอาหารเลย แต่ถ้าหากจำเป็น
ต้องใช้ผงชูรสจริงๆ ผู้บริโภค ควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกซื้อโดยการ
สังเกตหีบห่อหรือกระป๋องบรรจุ ขอบผนึกต้องไม่มีรอยตำหนิ ฉลากพิมพ์เป็น
ตัวหนังสือภาษาไทยชัดเจนไม่เลอะเลือน และต้องระบุชื่ออาหารแสดงคำว่า
ผงชูรส ตลอดจนมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร (อ.ย.) ระบุชื่อ ที่ตั้งของผู้ผลิต
เดือนปีที่ผลิต รวมทั้งน้ำหนักสุทธิอย่างชัดเจน
โดยคุณ : มานิต ธีระตันติกานนท์ -