++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

ปรัชญา... ได้มาจากคุณเกื้อ บุญเพิ่ม


      คนเรามักจะไม่ค่อยจดจำความดีที่ผู้อื่นทำไว้กับตน พอๆกับไม่เคยจำความไม่ดี ที่ตนได้ทำกับคนอื่น แต่ถ้าตัวเองได้ทำความดีไว้กับใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร หรือใครก็ตาม ที่มาทำความไม่ดีหรือไม่พอใจไว้กับตนเองแล้ว ก็จะจดจำไว้แม่นยำ แม้บางครั้งอาจอภัยให้แล้วแต่ก็ไม่มีวันลืม ปราชญ์จีนจึงสอนไว้ว่า "จงอย่าได้จดจำความดีที่เราทำไว้กับคนอื่น แต่จงจำความดีที่ผู้อื่นทำไว้กับเราเสมอ" เพราะพฤติกรรมของการทวงบุญคุณ มักทำให้ความสามัคคีสูญหาย ทำให้ความซาบซึ้งตรึงใจหย่อนคลายลงได้

      ผมรู้จักและคุ้นเคยกับคุณเกื้อตั้งแต่โอกาสแรกที่ได้มาอยู่ที่กาฬสินธุ์ เมื่อครั้งยังเป็นจ่าจังหวัดและหนุ่มโสด กำลังมองโลกด้วยอารมณ์ที่สุนทรีย์ตลอดเวลา มีโอกาสสนทนาวิสาสะร่วมกิจกรรมทั้งส่วนตัวและส่วนรวมกับคุณเกื้อเสมอ
     ผมยอมรับว่า คุณเกื้อเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้า กล้าได้ กล้าเสีย มองชีวิตที่เป็นปรัชญาและเป็นผู้หนึ่งซึ่งเห็นคุณค่าของชีวิตอย่างแท้จริง

คุณเกื้อ เคยชี้ให้ผมเห็นสภาวะของสังคมไทยว่า ในสังคมเรา ย่อมมีทั้งคนดี และคนไม่ดี เป็นไปตามทฤษฎีของมนุษย์โลก ซึ่งคนไม่ดีนั้น อาจจำแนกได้อีกหลายประเภทและประเภทที่ก่อความพินาศใหญ่หลวง กว้างขวางที่สุด อยู่ได้นานที่สุด นั่นค่อ พวกผู้ดีจอมปลอม

มนุษย์พวกนี้เป็นคนทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามได้ทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายเดือดร้อนของผู้อื่น และในเวลาเดียวกันก็สวมหน้ากากผู้ดีจอมปลอมตบตาชาวโลก ซึ่งลักษณะพิเศษของคนพวกนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น จะกระตือรือร้นสร้างชื่อเสียงในทางที่ดี ตีฆ้องร้องเป่าชื่อเสียงตนเองในทุกวิถีทาง ชอบฉวยโอกาสจากสถานการณ์ จึงได้มาซึ่งความเชื่อถือจากคนจำนวนมาก พวกนี้ถือว่าเป็นภัยสังคมที่หลอกผู้คนได้ยาวนาน ถ้าพบต้องหลีกให้ไกลแสนไกล อย่าได้เข้าเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด ...แต่ทั้งนี้ต้องระวัง เพราะคนบางคนอาจจะถูกเหตุการณ์บางจังหวะของชีวิตบังคับให้กระทำในสิ่งที่ไม่ดีได้

ในขณะเดียวกัน คนดีต้องดีพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ เป็นคนที่รู้จักการให้ หากผู้ใดขาดแคลนอะไรพอที่จะช่วยเหลือได้ สังคมส่วนรวมขอความร่วมมือในเรื่องใด ก็ควรให้ความช่วยเหลือร่วมมือทันที การแยกแยะคนดีและคนไม่ดีนั้น เราต้องใช้เวลานานเพื่อพินิจพิเคราะห์ อย่างมองกันแต่เพียงภายนอกหรือเปลือกนอกเท่านั้น เพราะคนดีต้องไม่ใช่คนที่ประพฤติดีตามกาลเวลา หรือทำดีในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือกับคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะต้องเป็นคนที่ประพฤติดีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งคนลักษณะนี้แหละที่สังคมไทยกำลังต้องการ

นอกจากนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความประพฤติซื่อตรง ไม่คิดคดทรยศต่อเพื่อน ต่อหน้าที่การงานหรือต่อประชาชน และต้องมีคุณธรรม ไม่ยกตนข่มท่าน มีความเพียร เป็นผู้กล้าหาญ กล้าทำ กล้าพูด กล้าเสียสละ ไม่เบียดเบียนใคร อารมณ์แจ่มใส มีใจหนักแน่น รู้ผิดรู้ชอบ รู้อภัย

ผู้ที่รู้จัก ใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณเกื้อ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า คุณเกื้อเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยไมตรีอ่อนโยน น่ารักและน่าเคารพนับถืออย่างยิ่ง

เป็นญาติพี่น้องที่มีความเอื้ออาทร ให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำโดยเต็มใจ และไม่เกี่ยงงอนหรือบ่ายเบี่ยง

เป็นมิตรสหายที่สร้างบรรยากาศที่ดี ไปร่วมงานธุรกิจ สังคมการกุศลอย่างสม่ำเสมอ เป็นผู้มีอุปนิสัยร่าเริงแจ่มใส ไม่มีความทุกข์โศกใดๆ แฝงอยู่ในใบหน้า

เป็นหัวหน้าที่มีความห่วงใยลูกน้องตลอดจนครอบครัวอยู่ตลอดเวลา คอยช่วยเหลือฝากงาน หรือภารกิจใดๆ ที่เพื่อความดีแล้ว ดูเหมือนคุณเกื้อ ไม่เคยปฏิเสธ

เป็นผู้นำชุมชนที่ทุกคนไม่ต้องกังวล เพราะคุณเกื้อเป็นคนเอาใจใส่ในหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างยิ่ง เป็นห่วงงานยิ่งกว่าความสุขหรือความทุกข์ส่วนตัว และ ที่สำคัญคือ เป็น ผู้ให้ มากกว่า ผู้รับ

เมื่อผมมีโอกาสกลับมากาฬสินธุ์อีกครั้ง หลังจากที่โยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ๒๐ ปีเต็ม ตำแหน่งหน้าที่การงานหรือบทบาททางสังคมอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ความผูกพันส่วนตัวระหว่างผมกับคุณเกื้อยังคงเหมือนเดิมทุกประการ หากแต่ปรัชญาชีวิตต่างหากที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เมื่อผมมาเริ่มงานใหม่ด้วยบรรยากาศในที่ทำงานเข้าลักษณะที่เหลาจื้อ ปราชญ์ชาวจีนกล่าวไว้ว่า "โง่แล้วขยัน ฉลาดแต่ฉวยโอกาสและแกมโกง ใช้ความรอบรู้เป็นอุบายพลิกแพลง คนประเภทนี้แหละที่สร้างปัญหาให้แผ่นดิน ต้องช่วยกันขจัดให้หมดสิ้นไป" คุณเกื้อให้ข้อคิดกับผม

"ถ้าเรามีไม้อยู่ ๒ อันยาวเท่ากัน วิธีที่จะทำให้ไม้อันหนึ่งยาวกว่าอีกอันหนึ่ง เราสามารถทำได้เพียง ๒ วิธีเท่านั้น คือ วิธีแรก ต่อ กับวิธีที่สอง ตัด ในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าในวงราชการ ภาคเอกชน  นักการเมืองหรือชุมชนใดก็ตาม มักจะพบคน ๒ ประเภทเช่นกัน คือ ประเภทแรก มองโลกในแง่ดี มุ่งมั่นทำแต่ความดี พื่อความดี สั่งสมบารมีอย่างแท้จริง  เป็นประเภทที่พยายามต่อไม้ของตนเองให้ยาวขึ้นเรื่อยๆ ส่วนประเภทที่สอง  เป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย เป็นประเภทชอบติ ชอบทำลาย เอารัดเอาเปรียบ คอยจ้องแต่ตัดไม้คนอื่น โดยไม่พยายามต่อไม้ของตนเอง  ความร้ายหรือความเลวที่มีอยู่ในจิตใจมัจะย้อนกลับมาเผาสุมผู้นั้นให้เร่าร้อนอารมณ์เดือดพล่านเสมอ"


ทำใจให้เป็นกลาง มองดูให้ดีๆ ดูให้รอบคอบลึกซึ้งแล้วจะสัมผัสได้เองว่า ใครก่อเหตุไว้อย่างไร ย่อมได้ผลอย่างนั้นจริงๆ เพราะทุกอย่างที่คนเราทำอะไรลงไปนั้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ที่แท้ก็คือ สิ่งที่เราได้กระทำลงไปแล้วกับตัวเอง สัจธรรมที่ว่าใครทำอย่างไร ย่อมได้รับสิ่งนั้น ยังไม่มีใครลบล้างความขลังลงได้ สมดังพุทธพจน์ที่ว่า "สกกมมุนา หนุยติ ปาปธม" ผู้ใดทำกรรมไม่ดีไว้ย่อมลำบากเพราะกรรมของตน ลองถอยออกมาสักก้าวแล้วหยุดนิ่งทบทวนดูทางเดินชีวิตที่ผ่านมา จะพบคำดังกล่าว "อกาลิโก" เสมอ

ค่าแห่งน้ำใจที่คุณเกื้อ มอบให้ผมและภรรยา ซึ่งผมเข้าใจว่า คงเป็นลายเซ็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็คือ เย็นวันที่คุณเกื้อจะพบจุดจบขอชีวิต พนักงานบริษัทแสงประทีปเดินรถจำกัด ได้นำบัตรพิเศษ วี.ไอ.พี ขึ้นรถทัวร์ปรับอากาศ กาฬสินธุ์-กรุงเทพฯ ไปให้ผมถึงห้องทำงาน ๒ บัตร บัตรเลขที่ ๑๐๐/๓๕ กับเลขที่ ๑๐๑/๓๕ โดยแจ้งว่า คุณเกื้อ ได้นำมามอบให้ ทั้งๆที่ผมและภรรยา ปกติไม่ค่อยได้ขึ้นรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ แต่คุณเกื้อก็บอกว่า เพื่อเป็นเกียรติของบริษัทและเป็นที่ระลึกส่วนตัว  แล้วก็เป็นที่ระลึกจริงๆ วันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ข่าวร้ายที่ได้รับคุณเกื้อเสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลศรีนครนทร์ฯ ขอนแก่น จะรดน้ำศพเย็นนี้ที่บ้านพักกาฬสินธุ์...


ความรู้สึกของผมในขณะนั้น และจนขณะนี้ก็คือ สิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของคนเรา ทั้งมิใช่ชื่อเสียงและทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นน้ำใจระหว่างคนต่อคน ถ้าเราได้มาแล้ว พึงทะนุถนอมไว้อย่าได้สร้างความผิดหวังแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้เพราะบุคคลที่เคยสูญเสียความรัก  ย่อมสัมผัสชีวิตได้ดีกว่า น้ำใจหรือความรักและความปรารถนาดีต่อกันนั้น ควรคู่กับการรักษาทะนุถนอมเพียงใด ทุกครั้งที่สูญเสียไป ต้องเจ็บปวด เสียดาย อาลัยและเงียบเหงา ... เหมือนกับการที่ผมและครอบครัว มีความรู้สึกต่อการจากไปของคุณเกื้อ พร้อมกับรู้ซึ่งถึงจิตใจของผู้สูญเสีย "ตระกูลบุญเพิ่ม"  ทุกคน แม้บางท่านอาจเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาของกฏแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นความรู้สึกผูกพัน แฝงไว้ด้วยความยิ่งใหญ่ของชีวิตเสมอ....

ครับ...เราผู้สัญจรไปมาบนโลกอันสุดไพศาลนี้ ย่อมไม่อาจดิ้นหนีหลุดพ้นจากห้วงแห่งกฏธรรมชาติได้

ไม่ว่าปุถุชนนั้น จะบำเพ็ญตนเยี่ยงนักบุญและคุ้นต่อสรวงสวรรค์ ฤาอธรรม์ผู้มีจิตผิดมนุษย์

ไม่ว่าปราชญ์ผู้เปรื่องคุณวิทยาจารย์ ฤาคนพาลผู้เกลือกกลั้วมั่วสุมแต่กลุ่มกิเลสหนา

ท้ายที่สุด ทวลมนุษย์เหล่านี้ก็จะคืนสู่ที่เดียวกัน คือ "เชิงตะกอน" ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ จะคงทนถาวรอยู่ชั่วนิรันดร์ และก็รู้กันทั่วไปว่า สมบัติผลัดกันชม ในการพบปะกันทุกครั้ง ต้องมีการพลัดพรากจากกันเสมอ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนไว้ว่า "จงอย่ามีความโศกเศร้าใดๆ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นย่อมเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งปวงในโลก"

ทุกท่านที่มาในงานนี้ ทั้งใกล้และไกลผมมั่นใจว่า คงพบสัจธรรมของชีวิตและได้ปรัชญาชีวิตจากคุณเกื้อแล้ว รวมทั้งเข้าถึงซึ่งปัญญาตามทางตรัสรู้ของพระพุทธองค์  นั่นคือ การเริ่มต้นฝ่าก้อนเมฆและม่านบังของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะการอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางไปร่วมบรรจบกันในที่ซึ่งพ้นวิสัยแห่งการเรียกชื่อ พ้นวิสัยแห่งการปั่นป่วน พ้นวิสัยจากการมีการเป็น พ้นวิสัยจากการตาย เพื่อจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏสงสารด้วยประการทั้งปวง

การตายมิใช่เป็นการสิ้นสุดแห่งชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นการไปเริ่มชีวิตใหม่ บุญบาปเป็นสิ่งที่มีจริง คุณเกื้อได้หมดภาระหน้าที่ในภพนี้ ได้กลับเข้าไปสู่ภูมิทิพย์ที่สบาย ไม่มีกังวลกับสิ่งใดสมกับคุณความดีที่ได้กระทำไว้ เมื่อตอนเป็นมนุษย์ ขอให้กุศลทั้งหลายทั้งปวงที่คุณเกื้อได้ประกอบกรรมดีมาโดยตลอด จงเป็นพลวปัจจัยส่งดวงวิญญาณของคุณเกื้อให้ได้สถิต ณ ภูมิทิพย์นั้นตลอดไปเทอญ

ประสิทธิ์-เพ็ญพร พรรณพิสุทธิ์
(รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์

ที่มา อนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงศพ เกื้อ บุญเพิ่ม ณ เมรุวัดชัยสุนทร อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๖

แสงประทีป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น