++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การให้ผลของกรรม (3) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)


ความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับการให้ผลของกรรม ขอให้มาดูและแก้ไขความเข้าใจกันตั้งต้นแต่ข้อความแสดงหลักทีเดียว คำกล่าวที่ชาวไทยนิยมพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั้น มาจากพุทธศาสนสุภาษิตว่าดังนี้

ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ

แปลว่า: หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น (ผู้) ทำดี ได้ดี (ผู้) ทำชั่ว ได้ชั่ว

คาถานี้เป็นพุทธพจน์ในรูปของอิสิภาษิต (คำกล่าวของฤๅษี) และโพธิสัตวภาษิต ซึ่งพระพุทธเจ้านำมาตรัสเล่า ท่านรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก นับว่าเป็นข้อความที่แสดงหลักกรรมของพระพุทธศาสนาได้อย่างกะทัดรัดชัดเจน

พึงสังเกตว่า ความท่อนแรกที่เป็นอุปมานั้น ท่านนำเอาพีชนิยามมาเป็นเครื่องเปรียบเทียบ เพียงแต่พิจารณาข้ออุปมานี้ให้ดี ก็จะแยกความสับสนระหว่างกรรมนิยามกับสมมตินิยามได้ทันที

กล่าวคือ ข้อความว่า หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น แสดงกฎธรรมชาติฝ่ายพืชพันธุ์ ว่าปลูกมะขาม ได้มะขาม ปลูกองุ่น ได้องุ่น ปลูกผักกาด ได้ผักกาด เป็นต้น ไม่ได้แสดงผลในทางสมมตินิยามแต่ประการใด ว่าปลูกมะขามแล้วจะได้เงิน หรือปลูกผักแล้วจะรวย เป็นต้น ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกัน

พีชนิยามกับสมมตินิยามจะมาสัมพันธ์กัน ก็ในตอนที่ว่า ปลูกองุ่น ได้องุ่นแล้ว พอดีถึงคราวที่ตลาดต้องการองุ่นมาก จึงขายได้ราคาดี และปีนั้นจึงรวย แต่อีกคราวปลูกแตงโม ได้แตงโม และงอกงามได้ผลมากด้วย แต่ปีนั้น คนปลูกแตงโมกันมาก ผลดกทั่วไปจนมีเกินความต้องการของตลาด ทำให้ราคาตก ปีนั้นขายขาดทุน ต้องทิ้งเปล่าเสียมากมาย

นอกจากปัจจัยด้านความต้องการของตลาดแล้ว อาจมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก เช่น เรื่องคนกลาง การกดราคา เป็นต้น แต่สาระสำคัญก็คือ จะเห็นความแน่นอนของพีชนิยามคงตัว และเห็นขอบเขตของพีชนิยามกับสมมตินิยาม ทั้งที่แยกต่างหากจากกันและสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน

อุปมาข้างต้นนี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น คนมักมองกรรมนิยามกับสมมตินิยามสับสนกัน โดยพูดว่า ทำดีได้ดี ในความหมายว่า ทำดีแล้วรวย ทำความดีแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่บางทีก็ไม่เป็น เหมือนกับพูดว่า ปลูกมะม่วงได้เงินดี ปลูกมะพร้าวทำให้รวย เขาปลูกน้อยหน่าจึงยากจน ซึ่งอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ แต่ความจริงก็คือ เป็นการพูดข้ามขั้นตอน ไม่แสดงความจริงตลอดสาย อาจใช้ได้สำหรับภาษาพูดพอรู้กัน แต่ถ้าจะเอาความจริงแท้ ต้องแสดงเหตุปัจจัยซอยออกไป โดยว่ากันเป็นลำดับให้ละเอียด

ข) องค์ประกอบที่ส่งเสริมและขัดขวางการให้ผลของกรรม

การที่กรรมนิยามจะแสดงผลออกมาในระดับของวิถีชีวิต ทำให้มีความเป็นไปต่างๆ ประสบผลตอบสนองจากภายนอก อันน่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้างนั้น ในบาลีท่านแสดงหลักไว้ว่า ต้องขึ้นต่อองค์ประกอบต่างๆ 4 คู่ คือ สมบัติ 4 และ วิบัติ 4

"สมบัติ" แปลง่ายๆ ว่า ข้อดี หมายถึง ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งช่วยเสริมส่งอำนวยโอกาสให้กรรมดีปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล พูดสั้นๆ ว่า องค์ประกอบอำนวยช่วยเสริมกรรมดี สมบัติมี 4 อย่าง คือ...

1.คติสมบัติ สมบัติแห่งคติ ถึงพร้อมด้วยคติ หรือคติให้ คือ เกิดอยู่ในภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศที่เจริญ เหมาะ หรือเกื้อกูล ตลอดจนในระยะสั้นคือ ทางดำเนินชีวิตเอื้อ หรือไปในถิ่นที่อำนวย

2.อุปธิสมบัติ สมบัติแห่งร่างกาย ถึงพร้อมด้วยร่างกาย ร่างกายดี หรือรูปร่างให้ เช่น มีรูปร่างสวย ร่างกายสง่างาม หน้าตาท่าทางดี น่ารัก น่านิยมเลื่อมใส สุขภาพดี แข็งแรง

3.กาลสมบัติ สมบัติแห่งกาล ถึงพร้อมด้วยกาล หรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีศีลธรรม ยกย่องคนดี ไม่ส่งเสริมคนชั่ว ตลอดจนในระยะสั้น คือทำอะไรถูกกาลเวลา ถูกจังหวะ

4.ปโยคสมบัติ สมบัติแห่งการประกอบ ถึงพร้อมด้วยการประกอบกิจ หรือกิจการให้ เช่น ทำเรื่องตรงกับที่เขาต้องการ ทำกิจตรงกับความถนัดความสามารถของตน ทำการถึงขนาดถูกหลักครบถ้วนตามเกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใช่ทำครึ่งๆ กลางๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน รู้จักจัดทำ รู้จักดำเนินการ
6++++++++++++++++++++//+++++++++++++++++++++++++++++++/++++++++++++
คาถากันแฟนทิ้ง

คนส่วนมากอยากมีแฟน คือมีคนรักที่รู้ใจ คุณรักเขาและเขาก็รักคุณ แต่กว่าจะหาแฟนได้สักคนก็ไม่ง่ายนักหรอก โดยเฉพาะแฟนนิสัยดี มีอนาคต

ข้อเขียนวันนี้คงจะช่วยได้ดีในพวกที่รักแฟนมาก แฟนเป็นคนดี มีอนาคต รับผิดชอบ คบกันแล้วกลัวแฟนจะทิ้งไปหาคนอื่น อยากมีของดีไว้ยึดเหนี่ยวใจแฟน (หรือสามีถ้าแต่งงานแล้ว) ให้รักและอยากอยู่ด้วยนานๆ

ขอแนะนำสิ่งดี ๆ ที่ควรมีในตัวให้มาก เหมือนเป็นคาถากันแฟนทิ้ง คือ...

1.ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ประณีตขึ้น อย่าหมกมุ่นกับเรื่องความสุขทางกาย ทางกาม หรือทางวัตถุมากนัก แต่ให้หันมาสนใจการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น + ประณีตขึ้นดีกว่า เช่น...

- รู้จักความรักอย่างมีสติ ไม่ครอบครอง ไม่หึงหวง ระแวง รู้จักการไว้วางใจ เกรงใจ ให้เกียรติ ศรัทธาในตัวเขา

- รู้จักการสร้างมิตรภาพและความรักให้งอกงามมากขึ้น (ยิ้มแย้ม - ทักทาย - ชมเชย – ช่วยเหลือ - อวยพร) บ่อย ๆ ใคร ๆ ก็ชอบ ส่วนเรื่องเซ็กซ์จะมีมากหรือน้อย ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ และความปรารถนา

ข้อสำคัญ คุณต้องตระหนักในความมีคุณค่าของตัวเองที่เคยทำความดีมาแล้ว อย่าให้ใครมาพิพากษาว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่ดี คุณต้องบอกตัวเองเสมอว่า เก่งมาก - ดีมาก และถ่อมตัว มองคนอื่นว่าเก่งมาก - ดีมาก ด้วย คุณจะมีความมั่นใจตัวเอง และจะสามารถสร้างมิตรภาพ ความรักคนอื่นได้จากใจจริง

2.หัดเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักการรับฟังอย่างลึกซึ้ง ถ้าจะพูดโต้ตอบให้พูดช้า ๆ ชัด ย่อความและพูดทางบวก (+) คิดก่อนพูด อย่าพูดทุกอย่างที่คิด พูดให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อย่าเอาจริงเอาจัง ไม่มีอะไรถูกหรือผิดเต็มร้อยหรอก

3.ฝึกการมีเมตตาให้มาก ๆ คืออยากให้ผู้อื่น (โดยเฉพาะแฟน) มีความสุขโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน คนที่มีความเมตตามาก ๆ ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่นใจ เป็นมิตร ผ่อนคลาย แฟนคุณก็จะรู้สึกอย่างเดียวกันเมื่ออยู่ใกล้คุณ แล้วเขาจะทิ้งคุณไปไหน?

4.อภัย – ปล่อยวางได้ง่าย ถ้าคุณมีเมตตามาก ๆ (ดังข้อ 3) คุณจะอภัยและปล่อยวางในความผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับแฟน เพราะคุณจะลดการจับผิด ระแวงสงสัย มองโลกทางลบ

5.ใช้ชีวิตร่วมกันแบบมีสติ + ปัญญาให้มาก ๆ ฝึกการมีสติอยู่กับปัจจุบันบ่อย ๆ แล้วปัญญาจะเกิดตามมา

คุณจะมีคำตอบใหม่ ๆ ให้ชีวิตเสมอ เช่น รักแท้คืออะไร มีจริงไหม? แต่งงานกันทำไม? เพื่อเซ็กซ์หรือผลประโยชน์ หรือการมีลูกไว้สืบสกุล?

ถ้าหากคุณมีสิ่งดี ๆ หรือคาถากันแฟนทิ้งดังกล่าวแล้ว แฟนยังทิ้งคุณไป ก็ให้ทำใจเถิดว่า ศรัทธา ปัญญา และ ”บุญ” ของคุณและแฟนไม่เสมอกัน ก็อยู่กันลำบาก จากไปก็ดีแล้ว

ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวแล้วเป็นคุณสมบัติชนิดประณีตของการเป็นคู่ครองที่มนุษย์ดี ๆ เขาต้องการ แต่ถ้าใครต้องการแฟนแค่สวย – รวย – เก่ง – เซ็กซี่ ก็คงหาได้ง่าย ๆ และทิ้งซึ่งกันและกันได้ง่าย ๆ เช่นกันอย่างทุกวันนี้

ตอนนี้คุณคงมีแฟนด้วยความสบายใจมากขึ้น มีคาถากันแฟนทิ้งไว้แล้วเชื่อว่า คุณและแฟนจะมีความรักแบบมีสติสร้างสรรค์ และมีความสุขแบบประณีตต่อไปได้นาน ๆ แต่ถ้าจะมีใครทิ้งใครก่อน ก็มีคำตอบให้ไว้แล้ว ไม่มีอะไรน่าตกใจ!

โดย ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
โลกและชีวิต/แนวหน้าออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น