++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อย่าให้เงินเขา"

อย่าให้เงินเขา"

ลูกของเพื่อนคนหนึ่ง
เรียนจบมหาวิทยาลัยมาได้ครึ่งปีแล้ว ยังไม่ยอมไปหางานทำ
เอาแต่หมกตัวอยู่กับบ้าน กลางวันนอน กลางคืนเล่นอินเตอร์เน็ต

ไม่นานก่อนหน้านี้ ลูกของเพื่อนคนนี้ได้ขอเงินพ่อแม่ไปทัศนศึกษาที่อเมริกา
เพื่อนจึงมาถามผมว่าควรจะให้เขาไปดีไหม ผมมองผมสีขาวโพลนของเพื่อน
แล้วพูดว่า “หากนายหวังดีต่อลูกจริง ก็ให้ลูกนายไป แต่อย่าให้เงินเขา”

แล้วผมก็คิดถึงเรื่องของน้องเขยของผม
น้องเขยผมเป็นชาวอเมริกัน เขาอยากเป็นกลาสีเรือมาแต่เด็ก
อยากจะเผชิญโลกกว้าง อยากจะลองเที่ยวรอบโลกแล้วค่อยกลับมาเรียนหนังสือ

แม้พ่อของเขาจะเป็นหมอ ฐานะครอบครัวก็ดี
แต่พ่อแม่กลับไม่ได้ให้เงินเขา และตัวเขาเองก็ไม่ได้ขอเงินจากทางบ้านด้วยเช่นกัน
พอจบชั้นมัธยมปลาย เขาก็ไปอลาสกา ทำงานตัดไม้เพื่อเก็บเงิน
เนื่องจากที่อลาสกานั้น กลางวันยาวนานกลางคืนสั้น
กว่าพระอาทิตย์จะตกก็เป็นเวลาเที่ยงคืน และตีสามพระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว
หากเขาทำงาน 16 ชั่วโมงใน 1 วัน
เงินค่าจ้างตัดไม้ของหนึ่งฤดูกาล ก็จะทำให้เขาสามารถเที่ยวรอบโลกได้ 3 ฤดูกาล

เขาเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี จึงค่อยกลับมาเรียนมหาวิทยาลัย
เนื่องจากเขาเรียนเลือกคณะที่ตัวเองได้ผ่านการตัดสินใจ และครุ่นคิดเลือกสรรอย่างรอบคอบแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเก็บหน่วยกิตของ 4 ปีได้ครบภายในเวลาเพียง 3 ปี แล้วออกมาทำงาน
การงานของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่น กล่าวได้ว่าก้าวหน้าเร็วมาก จนได้เป็นหัวหน้าวิศวกร

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้ผมฟัง
เขาบอกว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตเขาทั้งชีวิตเลยทีเดียว
ตอนที่เขาทำงานอยู่ในอลาสกา ขณะที่เขากับเพื่อนคนหนึ่งอยู่บนภูเขา
ก็ได้ยินเสียงหมาป่าครางโหยหวน เขาสองคนจึงออกค้นหาไปทั่วบริเวณด้วยความตกใจ
สุดท้ายไปเจอแม่หมาป่าตัวหนึ่งถูกกับดักสัตว์หนีบขา และกำลังร้องครวญครางโหยหวนอยู่

เขาเห็นกับดักสัตว์หน้าตาประหลาดนั้นปุ๊บ ก็ทราบทันทีว่าเป็นของคนงานเฒ่าคนหนึ่ง
คนงานเฒ่าคนนั้นมักดักจับสัตว์เป็นงานอดิเรก
เพื่อจะนำหนังสัตว์ไปขายเสริมรายได้งานในครอบครัว
แต่คนงานเฒ่าคนนี้เพิ่งจะถูกเฮลิคอปเตอร์พาไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ด้วยอาการโรคหัวใจ
ดังนั้นแม่หมาป่าตัวนี้จึงมีโอกาสอดตาย เพราะไม่มีใครมาช่วยจัดการ

เขาคิดจะปล่อยแม่หมาป่า แต่แม่หมาป่าดุมากจนไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้เลย
เขายังเห็นด้วยว่าแม่หมาป่ามีน้ำนมหยดจากเต้านม แสดงว่ามีลูกอ่อนรออยู่ในรัง
ดังนั้น เขากับเพื่อนจึงพยายามค้นหารังหมาป่าอย่างสุดความสามารถ
และหาพบในที่สุด จากนั้นจึงอุ้มลูกหมาป่าทั้งสี่ตัวมาที่แม่หมาป่าเพื่อให้มันป้อนนมลูก
ลูกมันจะได้ไม่อดตาย พวกเขาแบ่งเสบียงให้แม่หมาป่า มันจะได้รอดชีวิตต่อไป
กลางคืนยังต้องตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ เพื่อจะได้ช่วยคุ้มครองพวกมันได้
เพราะแม่หมาป่าโดนกับดักหนีบไว้ จึงป้องกันตัวเองไม่ได้

จนถึงวันที่ 5 ตอนที่เขาไปป้อนอาหาร พบว่าหางของแม่หมาป่ากระดิกเบาๆ
จึงทราบว่าเริ่มได้รับความไว้วางใจจากแม่หมาป่าแล้ว ผ่านไปอีก 3 วัน
แม่หมาป่าถึงได้ยอมให้เขาเข้าใกล้เพื่อจะได้ปลดกับดักสัตว์ออกให้

หลังจากแม่หมาป่าเป็นอิสระ ก็เลียมือของเขา
ยอมให้เขาใส่ยารักษาแผลที่ขาให้ แล้วค่อยพาลูกๆ จากไป
ระหว่างเดินจากไปยังหันกลับมามองพวกเขาอยู่หลายครั้ง

เขานั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่แล้วคิดว่า
หากมนุษย์สามารถทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายเลียมือตัวเอง และกลายเป็นเพื่อนกันได้
แล้วจะไม่สามารถทำให้มนุษย์ด้วยกันวางอาวุธลง และยอมเป็นเพื่อนด้วยได้เชียวหรือ?

เขาตัดสินใจว่านับจากนี้ไปจะแสดงความเป็นมิตรแก่คนอื่นก่อน
เพราะเขาได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้แล้วว่า
ต้องแสดงความจริงใจของเราเองก่อน อีกฝ่ายจึงจะยอมแสดงความจริงใจตอบ
(เขายังพูดล้อเล่นว่าหากไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงเทียบไม่ได้กระทั่งเดรัจฉานแล้ว)
ดังนั้น เวลาทำงานในบริษัท เขาจึงมักปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ
เขาจะสมมติก่อนว่าคนอื่นนั้นมีเจตนาดี
แล้วค่อยไปคิดหาเหตุผลในพฤติกรรมของคนคนนั้น
เขามักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ถือสาหาความเรื่องเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งทุกปี และก้าวหน้าเร็วมาก ที่สำคัญที่สุดคือ
เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน
คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมักมีความสุขกว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือมาก

แม้เขาจะไม่ทราบว่าคนจีนมีคำกล่าวว่า “เป็นผู้ให้มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ”
แต่ชีวิตของเขาได้ยืนยันความจริงของประโยคนี้แล้ว
เขาบอกผมว่า เขารู้สึกขอบคุณประสบการณ์ในอลาสกาอย่างมาก
เพราะมันเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาไปชั่วชีวิต

ซึ่งก็จริง มีเพียงสิ่งที่ตัวเราปรารถนาเท่านั้นที่เราจะทะนุถนอม
มีเพียงลูกพลับที่เคยผ่านน้ำค้างแข็งมาแล้วเท่านั้นที่จะมีรสหวาน

คนก็เช่นกัน ต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลา จึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์
หากคนคนหนึ่งเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แล้วยังไม่รู้อีกว่าตัวเองอยากจะทำอะไร
ก็สมควรจะส่งเขาไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองในโลกภายนอกเสียบ้าง
แล้วอย่าให้เงินเขา ให้เขาหาเงินเลี้ยงปากท้องเอง
ให้โอกาสเขาไปแสวงหาตัวตนของตัวเอง และสัมผัสกับชีวิต

เชื่อว่าเขาย่อมได้พบกับประสบการณ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น