++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Pramote Nakornthab จดหมายถึงอนาคตนายกรัฐมนตรี

Pramote Nakornthab
จดหมายถึงอนาคตนายกรัฐมนตรี
ใครก็ดีที่มีทุกขลาภ ถูกลูกน้องและนายหาบขึ้นเป็นใหญ่ เพราะเขาอยากโดยสารเราขึ้นไป
จงแจ้งใจในอดีตให้จงดี
จดหมายถึงนายกรัฐมนตรี
ยังไม่สายเกินไปที่ท่านนายกฯ จะเป็นผู้นำในการปฏิรูป สถาปนาพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ต้องคอยอะไร ทำได้ทันที ไม่ต้องผ่านสภาฯ หรือกฎหมายที่ไหน ความจริงใจ ตั้งใจ มโนธรรมและความกล้าหาญของท่านนายกฯ คนเดียวก็พอ

1. สร้างระบบพระราชอำนาจทั่วไปคือ อำนาจแนะนำ ให้กำลังใจและตักเตือน รัฐบาล โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกำหนดวันเวลาและพิธีการที่แน่นอน เดือนละกี่ครั้งก็ตามแต่จะทรงโปรดฯ ให้นายกรัฐมนตรีเข้าถวายรายงานเช่นเดียวกับอังกฤษ

2. สร้างระบบถามนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกับ Prime Minister Question ของอังกฤษ โดยนายกรัฐมนตรีไปตอบปัญหาในสภาฯ สัปดาห์ละหนึ่งครั้งๆ ละ 3 ชั่วโมงในเวลาเดียวกันที่กำหนดตลอดสมัยประชุมสภาฯ

3. สร้างระบบให้เวลาเท่ากัน Equal Time กับหัวหน้าฝ่ายค้านในกรณีที่นายกรัฐมนตรีใช้กระบอกเสียงของรัฐบาลโฆษณาตนเองและพรรค

4. สร้างกองทุนประชาธิปไตยโดยนายกรัฐมนตรีบริจาคสมทบกับงบประมาณของรัฐบาล และจัดลงเป็นมูลนิธิย่อยๆ ในทุกจังหวัดอีกด้วย

รีบทำเสียเถิดครับ ท่านนายกฯ ก่อนที่จะหมดโอกาส เวลานี้ความเชื่อถือท่านในต่างประเทศหมดแล้ว ในบรรดาทูตานุทูตร่อยหรอลงทุกที ในสถาบันสังคม ศึกษา ศาสนาและในเมืองกำลังจะมอดมิด ครับไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าหากท่านนายกฯ ทำแค่ 4 อย่างข้างบนนี้ วันข้างหน้าชื่อของท่านก็จะอยู่ในประวัติศาสตร์เยี่ยงวีรบุรุษ

หากท่านเลือกที่จะไม่ทำ โปรดกรุณาอ่านพระธรรมข้างล่างนี้เพื่อเจริญสติเสียก่อนเถิด

ใน “มิลินทปัญหา” พระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระนาคเสน ตอบพระเจ้ามิลินท์ว่า

“หากบุคคลขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์มาเป็นใหญ่ มีอำนาจมากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงทัณฑ์โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมาและมิได้อยู่

“ในอำนาจด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครองเยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครองทั้งหลายที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และกฎเกณฑ์ของสังคม ก็จะถูกประชาทัณฑ์ เยี่ยงเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองที่ประพฤติตนเหมือนโจรปล้นสมบัติของแผ่นดิน”

พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้ปกครองว่า

“คนพาลผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต ปกครองหมู่คณะ ตกอยู่ในอำนาจจิตของตนแล้ว พึงนอนตาย เหมือนลิงจ่าฝูง นอนตายอยู่ ฉะนั้น”

ด้วยความปรารถนาดี

ปราโมทย์ นาครทรรพ

จดหมายถึงอดีตนายกรัฐมนตรี
เรื่องอย่าบิดเบือนประชาธิปไตย

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 3 มีนาคม 2549 16:01 น.

28 กุมภาพันธ์ 2549
กราบเรียน ฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี

ใครเลยจะนึกว่า ผมเขียน ถึงท่านนายกรัฐมนตรียังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ดี ท่านก็กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว สมกับที่ลอร์ดวิลสัน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่า “หนึ่งสัปดาห์เป็นเวลาที่ยาวนานในการเมือง”

เวลาที่สัจธรรมแห่งชีวิตมาเคาะประตูเรียกหา ท่านทราบไหมว่าท่านเหล่านี้ คือ ฮิตเลอร์ มุสโซลินี มาร์กอส ซุฮาร์โต แหละ 3 จอมพลผู้นิราสของไทย ได้แก่ จอมพลป. จอมพลถนอม และจอมพลประภาส คิดอะไร ผมเดาว่า ทุกท่านคงอยากให้วันวานหวนกลับมา เพื่อจะได้มีโอกาสทำความดี

ความผิดของท่านเหล่านี้ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้วต่างๆ แต่ความผิดเหมือนๆกันที่มักจะไม่มีใครกล่าวถึง ก็คือท่านเหล่านี้พากันบิดเบือนประชาธิปไตย อาศัยสัญลักษณ์ประชาธิปไตย เอาความเป็นเผด็จการมาใช้ ด้วยการขอประชามติจากประชาชนบ้าง เลือกตั้งบ้าง หรือขออนุมัติจากสภาบ้าง แล้วโหมใช้การโฆษณาชวนเชื่อผิดๆ ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีมาร์กอสขอประชามติต่อและเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ฮิตเลอร์ขออำนาจโดยสภาผ่านกฎหมายพิเศษให้เป็นต้น

ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เคยดักคอนักกฎหมายชั้นสูงของรัฐบาลที่จะนำกลอุบายของฮิตเลอร์มาใช้ ส่วนนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องฟิลิปปินส์ก็ให้ความเห็นเช่นเดียวกันว่าหากไม่มีเปรากฎการณ์สนธิขับไล่นายกรัฐมนตรี มิใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่นายกรัฐมน ตรีจะไต่บันได 3 ขั้นขอประชามติเมื่อนายกฯได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชน

ผมขอย้ำว่านั่นเป็นการเดา และเป็นเรื่องอดีตที่คงจะไม่มีทางหวนกลับมา แต่ผมว่า อนาคตของท่านอดีตนายกฯฯยังดีกว่าทุกๆคน ข้อสำคัญตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอท่านและบริวารอย่าพากันบิดเบือนประชาธิปไตย ต่อเมื่อเมืองไทยมีประชาธิป ไตยที่แท้จริงเท่านั้น ท่านจึงจะมีโอกาสอยู่ในเมืองไทยอย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้ความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญเหมือนกับคนไทยทุกคน จะกลับมาเล่นการเมืองใหม่ก็ยังได้

ขอยกตัวอย่างการบิดเบือนประชาธิปไตยในบ้านเราก็คือ การใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและขั้นตอนตามกฎหมาย (due process of law) เช่นการสังหารผู้ต้องสงสัยยาเสพติด และผู้ต้องสงสัยในภาคใต้ การครอบงำองค์กรอิสระ การงดเว้นไม่ขออนุมัติสภาในเรื่องที่รัฐธรรมนูญระบุให้สภาอนุมัติ ฯล ฯ นอกจากนั้นคือการครอบงำสิทธิเสรีภาพของสื่อ ตลอดจนการใช้กระบอกเสียงของรัฐบาลทำการ “โกหก ปกปิด บิดเบือน” ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ประชาชนพึงทราบ

หลังยุบสภา มีการบิดเบือนสำคัญ 2 ประการ คือ การเผยแพร่ความคิดที่ผิดว่าสิ่งที่เป็นประชาธิปไตยไม่เป็นประชาธิปไตย กับสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยว่าเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลกับกระบอกเสียงพยายามบิดเบือนประชาธิปไตย ใน 6 ประเด็น ดังต่อไปนี้

1. การยุบสภาเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน การยุบสภากระทำได้ แต่จะถูกหรือผิดขึ้นกับเงื่อนเวลาและเงื่อนไขที่ยุบ ถ้าหากว่าไม่มีเงื่อนไขเช่น เรื่องกฎหมายไม่ผ่าน รัฐบาลขัดแย้งกับสภา พรรคการเมืองในสภาทะเลาะเบาะแว้งต่อสู้กัน และรัฐบาลคุมไม่อยู่ การยุบสภาก็ขาดน้ำหนักไม่ชอบธรรม เช่น รัฐบาลอ้างว่าเป็นเพราะเหตุมีการชุมนุมขับไล่นายกฯนอกสภา นี่มิใช่เหตุที่จะยุบสภาได้ สืบเนื่องมาจากนายกฯไม่ตอบคำถามเรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องทำลายสิทธิเสรีภาพของสื่อ เรื่องลบหลู่พระมหากษัตริย์ฯลฯ การชิงไปยุบสภาทำร้ายส.ส.ซึ่งมิได้กระทำผิดใดๆเลย เป็นการเอาตัวรอดแต่ผู้เดียวแบบสิ้นไร้หิริโอตัปปะ การกลับจะไปวางจุดหนักที่การเลือกตั้งด้วยการถามประชาชนว่าจะเอาใคร ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เป็นการถามนอกประเด็น เพราะประเด็นคือปัญหาของ Civil Society หรือประชาสังคมที่ไม่ยอมรับความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี ปํญหานี้จะถูกกลบเกลื่อนด้วยการเลือกตั้ง นายกฯก็จะฉวยโอกาสไม่ตอบ ซึ่งประชาสังคมก็จะไม่ยอม จะเป็นเหตุให้มีการชุมนุมประท้วงต่อไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในและนอกประเทศ โดยองค์ประกอบที่แข็งขันทางการเมืองและมีข้อมูลมัดท่านอดีตนายกฯเพิ่มขึ้น การประท้วงจะยกระดับสูงขึ้นจนกระทั่งถึงการหยุดงานทั่วไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ นี่ยังไม่กล่าวถึงศาลปกครองที่อาจจะสั่งว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

การคืนอำนาจให้กับประชาชน รัฐบาลอ้างว่าการเลือกตั้งคือการคืนอำนาจให้กับประชาชน แท้ที่จริงคำว่าคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นวาทกรรมถ่อยทางการเมืองของอำนาจนิยมและสมุนที่ไม่เข้าใจทฤษฎีตัวแทนในระบบประชาธิปไตย (Theory of Representation) ซึ่งถือว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมดเป็นของประชาชนและอยู่ที่ประชาชน ประชาชนมอบหมายอำนาจอันจำกัดบางอย่างให้รัฐบาลนำไปบริหารเท่านั้น รัฐบาลจะต้องจำกัดอยู่ที่อำนาจที่ได้รับมอบหมายจะกระทำเกินไปมิได้ เมื่อใดรัฐบาลทำเกินหรือเจ้าของอำนาจคือประชาชนขาดความไว้วางใจ ประชาชนมีสิทธิเรียกอำนาจทั้งหมดที่มอบให้ไปกลับคืนมา อย่างที่ประชาชนหลายหมู่เหล่าที่เรียกว่าพันธมิตรประชาธิปไตยกำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ด้วยการเรียกร้องให้นายกฯลาออก

2. การคว่ำบาตรการเลือกตั้งของฝ่ายค้านไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่จริง การคว่ำบาตรการเลือกตั้งเป็นสิทธิและขบวนการต่อรองอันชอบธรรมอย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยและได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีพรรคการเมืองหลายประเทศที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง รวมทั้งพรรคการเมืองสำคัญของอังกฤษในไอร์แลนด์เหนือเมื่อปี 1995 วัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งทั่วไปก็คือการจัดให้มีรัฐบาลบริหารประเทศ ด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม คะแนนเสียงที่ลงมีผลแน่นอน ถูกต้อง ทั่วถึงและคุ้มครองถึงชนกลุ่มน้อยด้วย หากการเลือกตั้งใดบิดเบือนไปจากนี้ การคว่ำบาตรก็เป็นสิ่งถูกต้อง ยิ่งการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเรื่องเฉพาะกิจอย่างที่รัฐบาลประกาศก็ยิ่งจะต้องคว่ำบาตร การเมืองไทยจะพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง

3. การชุมนุมเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีลาออกเป็นกฎหมู่ ไม่เป็นประชาธิปไตย คำจำกัดความที่ถูกต้องของกฎหมู่ก็คือ คนหมู่มากที่มีกำลังเหนือกว่าใช้กำลังบีบบังคับคนหมู่น้อยที่กำลังด้อยกว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯลาออกเป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองเช่นกัน ในประเทศฟิลลิปปินส์ ประธานาธิบดีมาร์กอสได้รับเลือกตั้งโดยตรงโดยคะแนนล้นหลาม ได้รับประชามติให้ต่อเวลาและเพิ่มอำนาจจากประชาชนโดยการลงคะแนนแบบประชาธิปไตย แต่นางอกิโนและขบวนการคนเสื้อเหลืองก็เดินขบวนจนมาร์กอส ยอมลาออกไปพำนักต่างประเทศ เพราะใจไม่แข็งพอที่จะยิงประชาชน ขณะนี้อดีตประธานาธิบดีอกิโนกลับมาเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดีอาโรโยอีกด้วยข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่นที่ตรวจสอบมิได้ ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดีอกีโนใช้กฎหมู่และไม่เป็นประชาธิปไตย ของไทยเราจะแจ้งและสวยงามกว่าเสียด้วยซ้ำ

4.ประชาธิปไตยอยู่ที่การเลือกตั้งและการปฏิบัติงานในรัฐสภาเท่านั้น ไม่ถูก ประชาธิปไตยต้องอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ในการปฎิบัติงานของระบบราชการ ระบบเศรษฐกิจและการปกครอง สื่อที่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ ประชาชนที่เคลื่อนไหวภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญอย่างเข้มแข็ง คือพลังอันแท้จริงของประชาธิปไตย ผู้รักประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องไปลงเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ความเก่งทุกคน เพราะสังคมต้องมีคนเก่งหลายๆทาง

5. การขัดขืนคำสั่งรัฐบาล (Civil Disobedience) การต่อต้านโดยสงบ(Passive Resistance) และการหยุดงานทั่วไป (General Strike)ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่จริง ทั้งหมดเป็นอาวุธของประชาธิปไตยทั้งสิ้น ข้อสำคัญต้องนำมาใช้ให้ถูกทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคัดค้าน พระมหากษัตริย์อังกฤษนอกจากจะเคารพสิทธิการหยุดงานทั่วไปแล้ว ยังทรงเตือนรัฐบาลมิให้แสดงท่าทียั่วยุผู้ประท้วงด้วยซ้ำ (Rodney Brazier, Constitutional Practice, p. 183)

6. การพึ่งพระราชอำนาจตามหลักราชประชาสมาศัยเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขัดกับระบอบประชาธิปไตย ผมขอถามง่ายๆว่า ระหว่าง “ทักษิณสมาณัติ” คือการปฎิรูปแบบทักษิณ กับ “ราชประชาสมาศัย” คือการปฏิรูปโดยปวงชนทุกหมู่เหล่ารวมทั้งทักษิณมีส่วนร่วมกับองค์พระมหากษัตริย์ที่ปวงชนเคารพบูชาและไว้ใจ อันไหนดีกว่ากัน ในหลวงองค์นี้ได้ทรงพิสูจน์พระปรีชาญาณและความเข้าพระทัยในระบอบประชา ธิปไตย อย่างลึกซึ้ง ไม่มีทางที่จะนำประเทศไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพียงแต่ขอให้มีการถวายคืนพระราชอำนาจทั้ง 3 ประเภทคือพระราชอำนาจทั่วไป พระราชอำนาจพิเศษ พระราชอำนาจสำรอง ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและทฤษฎีในประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งอำนาจเหล่านี้ได้ถูกเบียดบังไปโดยลัทธิพระมหา กษัตริย์อยู่เหนือการเมืองแต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญของไทย ถ้าท่านอดีตนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจและเต็มใจเพียงคนเดียวเท่านั้น การปฏิรูปแบบราชประชาสมาศัยก็จะเริ่มขึ้นได้ทันที ฟ้าจะสว่าง ประเทศชาติจะปลอดภัย และนานาประเทศก็จะสาธุการ ครับ บุคคลเพียงหนึ่งคนจะต้องสลัดอัตตาและตัวกูของกูเพื่อโอกาสทองของประเทศ

ท่านอดีตนายกฯครับ ดีร้อยครั้ง พลั้งไปนิด พาผิดหมด แต่กรณีของท่านนายกฯนี้ผิดร้อยครั้ง ตั้งหน้าโทษผู้อื่น ท่านทำให้คนเดือดร้อนทั้งประเทศเพียงเพื่อจะยืนยันความถูกต้องของท่าน ผมบอกแล้วมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น โปรดนำพระราชดำรัสมาใส่เกล้าเถิดว่า “ ในเมืองไทยนี่ คนไหนที่ทำอะไรไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลย”

เคยมีการวิจัยศึกษาสภาวะจิตของผู้ปกครองประเทศที่ถูกกระหน่ำตีจนตรอก มีประเภทหนึ่งที่น่าห่วงว่าจะก่อความเสียหายให้กับบ้านเมืองก็คือประเภทที่หัวชนฝายอมตาย เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและปกปิดปมด้อยของตนเอง พวกนี้จะก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองเพื่อคลอกฝ่ายตรงกันข้ามให้วอดวายไปด้วย ผู้นำประเภทนี้ต้องการจิตแพทย์หรือไม่ก็หลวงพ่อผู้สอนธรรมะชี้บาปบุญคุณโทษ ผมเดาว่าท่านคงไม่ต้องการทั้งสองอย่าง เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง กับทั้งเชื่อแน่ว่าอำนาจและเงินต่างหากที่เป็นยาสารพัดนึก

ท่านอดีตนายกฯคงจำได้ดีเมื่อท่านหันหลังทิ้งพรรคพลังธรรมนั้น ท่านประกาศว่า การเมืองไทยต้องใช้เงินซื้อลูกเดียวเพราะคนไทยยังโง่ หากจะมัวรักษาจรรยาบรรณของพลังธรรมคือ”ไม่ซื้อ-ไม่ด่า” ไม่มีทางสำเร็จ ในที่สุดท่านก็สำเร็จ ใครก็ตามที่ใช้เงินเป็นตัวต่ออำนาจ และอำนาจเป็นตัวต่อเงินก็จะถูกทั้งเงินทั้งอำนาจดูดเข้าไปอยู่ในวังวนหาทางออกมิได้ บุคคลที่แวดล้อมเป็นพรรคพวกบริวารก็มิรู้ได้ว่าใครมาด้วยใจ ใครมาด้วยเงิน ดังสุภาษิตว่า “ชนะไหน เข้าด้วย ช่วยกระพือ เหมือนกระสือ ฝูงห่า ลงหากิน”

ผมเป็นคนที่ชอบคิดถึงแม่ในเวลามีความทุกข์ “แม่ไทย”เป็นแม่ที่วิเศษที่สุดในโลก เป็นผู้รักษาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเป็นไทยผ่านชีวิตของลูก ไม่ว่าพ่อนั้นจะเป็นใครเชื้อสายอะไร แม่ไทยจะสอนให้ลูกกตัญญูรู้คุณ รู้จักเมตตาปราณี ผ่อนสั้นผ่อนยาว ถ่อมตัวไม่มีอัตตาตัวกูของกู อะไรควรยอมก็ยอม เพื่อเห็นแก่ความสงบ “แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร” ฯลฯ

แม่เคยสอนไม่ให้ผมลืมตัวจนเหลิง โดยยกเอาร่ายที่แสนไพเราะในเวสสันดรชาดกมาท่องให้ฟัง จนกระทั่งผมจำบางตอนที่เป็นตัวเอน ได้ขึ้นใจ มีบางตอนที่ขาดหายไป อาจารย์ภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์คือดร.ปราณีกับศาสตราจารย์ประคองกุลีกุจอช่วยเติมเต็มให้เมื่อทราบว่าผมจะนำมาเป็นข อง(ปลอบ)ขวัญฯพณฯอดีตนายกรัฐมนตรี ฟังนะครับ

“ อนึ่งเล่า พระพุทธเจ้าข้า เสนาน้อยใหญ่ ยากที่จะครองใจที่ตรงจริง มีบุญ เขาจะวิ่งเข้ามาเป็นข้า พึ่งพระเดชเดชาให้ใช้สอย เฝ้าป้อยอสอพลอพลอยทุกเช้าค่ำ ยามเพลี่ยงพล้ำ เขาจะช่วยกันกระหน่ำซ้ำซ้อนซัก ดังราชหงส์ปีกหักตกปลักหนอง กาแกก็จะแซ่ซร้องเข้าสาวไส้”

ท่องคาถาบทนี้และทำใจไว้ล่วงหน้าเถิดครับ เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านต้องเว้นวรรคการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้เจ็บปวดน้อยลง

ด้วยความปรารถนาดี
ปราโมทย์ นาครทรรพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น