ถ้ายังมีความสะอาด สว่าง สงบน้อยไม่ควรจะเรียกว่าพระอริยเจ้า ก็เรียกได้ว่าเป็นกัลยาณปุถุชนที่ดี ถ้าไม่มีความสะอาด สว่าง สงบ ก็เรียกว่าปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส โดยนัยนี้เราจะเห็นได้ทันทีว่า ปุถุชนก็คือคนที่เต็มอยู่ด้วยความเศร้าหมอง ความมืดมัว และความเร่าร้อน คือไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบนั่นเอง ส่วนพระอรหันต์นั้นตรงกันข้าม เป็นผู้ที่หมดความมืดมัว หมดความเศร้าหมอง หมดความมืดมัว หมดความเร่าร้อน แต่มีความสะอาด สว่างไสว สงบเย็นแจ่มแจ้งถึงที่สุดเกิดขึ้นแทน เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้ เพราะจะเทียบเคียงเอาได้ด้วยใจตนเองว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร เสียแต่ว่าเราจะเป็นปุถุชนกันเกินไปจนไม่รู้จักความเป็นปุถุชนของตัวเอง
อยากจะเปรียบเทียบความข้อนี้เหมือนกับปลาที่มันอยู่ในน้ำ มันไม่รู้แม้แต่ความเป็นปลาของมันเอง คือไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์น้ำ ปลาไม่มีความรู้ว่าตัวเองเป็นสัตว์น้ำ เพราะเกิดในน้ำ อยู่ในน้ำ และก็ตายในน้ำ แต่แล้วก็ยังไม่เห็นน้ำ เพราะน้ำมันเข้าถึงตาเกินไปจนไม่เห็นน้ำ ไม่มีความรู้สึกที่จะเรียกว่าน้ำเหมือนที่พวกเราเรียกน้ำนั้นว่าน้ำ เพราะฉะนั้นปลาจึงไม่รู้จักตัวเองว่าเราเป็นสัตว์น้ำดังนี้เป็นต้น แล้วปลาจะรู้จักเรื่องบกหรืออยากเป็นสัตว์บกได้อย่างไรกัน
เช่นเดียวกับคนที่เป็นปุถุชนเกินไป หลับหูหลับตามากเกินไปจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นปุถุชน คนพวกนี้เท่านี้ที่ไม่อาจที่จะเข้าใจเรื่องราวพระอรหันต์ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งตรงกันข้ามกับปุถุชน แต่ถ้ามีสติปัญญาอยู่บ้าง พอที่จะรู้สึกนึกได้เองบ้าง ความเป็นปุถุชนของตนนั้นเป็นอย่างไรแล้ว ตนก็จะพอเทียบเคียงหรืออนุมานเอาได้ว่า ความเป็นพระอรหันต์นั้นจะเป็นอย่างไร
พุทธทาสภิกขุ
มาฆบูชาเทศนา ปี ๒๕๐๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น