++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แม่ป่วยหนัก จะบาปไหม หากตัดสินใจ ไม่ปั้มหัวใจ ให้ท่านตายตามธรรมชาติ

แม่ป่วยหนัก จะบาปไหม หากตัดสินใจ ไม่ปั้มหัวใจ ให้ท่านตายตามธรรมชาติ

ปุจฉา - กราบนมัสการท่านเจ้าคะ คุณแม่ป่วยเป็นโรคไตมาหลายปีแล้วเจ้าคะ ท่านอายุ 84 ปี ไม่สามารถเดินได้ ได้แต่นอนพักอยู่บนเตียงเท่านั้น ตัวท่านเองก็อ่อนล้าและเหนื่อย พูดคุยรู้เรื่องอยู่บ้างบางครั้งก็เบลอ ๆ

ครั้งล่าสุดที่ไปฟอกไต หัวใจได้หยุดเต้นไปประมาณ 1 นาทีได้ แต่พยาบาลได้เรียกชื่อท่าน ท่านก็ขานกลับมาได้ทัน ทางโรงพยาบาลได้ถามมาว่าถ้าต่อไปหัวใจหยุดเต้น จะให้ทางโรงพยาบาลปั้มหัวใจท่านกลับมาไหม หนูตัดสินใจยากมากเลยคะ ใจหนูคิดว่าอยากให้ท่านได้ไปแบบธรรมชาติมากกว่า

การที่ท่านได้หยุดหายใจไปแล้วถือได้ว่าท่านได้เสียแบบธรรมชาติไหมคะ การปั้มหัวใจท่านกลับมาท่านก็อาจจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือไม่ใส่ ทางคุณหมอก็ตอบไม่ได้ ตัวท่านเองก็ผอมลงมาก การปั้มหัวใจต้องปั้มอย่างแรง หนูเกรงท่านกระดูกจะหักก่อน หนูดูแลปลอบโยนและคอยบอกท่านว่า พระพุทธเจ้าได้อยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ต้องห่วง และเปิดเพลงสวดมนต์เบา ๆให้ท่านได้ฟังตลอดวันจนถึงดึก

หนูตัดสินใจไม่ได้ว่าการปั้มหัวใจนั้นถือว่าเป็นการได้ช่วยคนไข้ไหม หนูคิดว่าการหยุดหายใจไปแล้วถือว่าได้เสียอย่างธรรมชาติแล้วถ้าเราปล่อยท่านไปจะได้ไหมเจ้าคะ แล้วในกรณีที่พยาบาลเรียกท่าน ท่านขานตอบกลับมาได้ ก็ถือว่าท่านกลับมา แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยท่านไปโดยไม่ต้องใช้เครื่องปั้มหัวใจท่าน หนูเข้าใจถูกไหมคะ

จะบาปไหมคะถ้าไม่ปั้มหัวใจท่านกลับมา หนูตัดสินใจยากคะ กราบเรียนขอความกรุณาท่านแนะนำด้วยนะเจ้าคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - หากปั๊มหัวใจแล้วคนไข้สามารถมีชีวิตยืนยาวต่อไปโดยมีคุณภาพชีวิตที่ดี หรือมีโอกาสที่จะรักษาให้หายได้ ก็ควรทำ แต่หากคนไข้อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว และหากปั๊มแล้วแม้สำเร็จแต่เป็นแค่การยืดความทุกข์ทรมานของท่านเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ท่านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ก็คงไม่อาจเรียกว่าเป็นการช่วยเหลือท่าน

ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลายท่านได้สั่งลูกหลาน หรือขอร้องแพทย์ว่าหากหัวใจหยุดเต้นก็ขออย่าได้ปั๊มหัวใจเลย การแสดงเจตจำนงดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เป็นการแสดงความปรารถนาที่จะจากไปตามธรรมชาติของสังขาร

ในกรณีของคุณ หากคุณปล่อยให้คุณแม่จากไปโดยไม่ได้ขอให้มีการปั๊มหัวใจท่าน เพราะอยากให้ท่านจากไปตามธรรมชาติ หรือไม่อยากให้ท่านทุกข์ทรมานอีก ย่อมไม่ถือว่าเป็นบาป จะเป็นบาปก็ต่อเมื่อทำเช่นนั้นด้วยเจตนาอยากให้ท่านสิ้นชีวิตเร็ว ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่น จะได้ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากกว่านี้ หรือเพราะอยากได้มรดกไว ๆ

ที่มา https://www.facebook.com/visalo?fref=ts

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น