หรือ
ตายเสียก่อนแต่ร่างกายตาย"...
นี้อะไรตาย??
ก็คือ กิเลสที่เป็นเหตุให้รู้สึกว่ามีตัวกู-ของกูนั่นแหละตาย
กิเลสนี้ต้องตายเสร็จก่อนร่างกายตาย
จึงจะเรียกว่านิพพาน
นี่เป็นสิ่งที่ควรจดจำไว้ด้วยว่า
"ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง
นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย". ;
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เห็นว่า มีการพูดที่สับสน
คราวหนึ่งคนหนึ่งสอนว่า ให้ตายเสียก่อนตาย,
คราวหนึ่งนี้มีผู้ที่สอน ว่าจงทำให้ไม่รู้จักตาย
ที่แท้มันเป็นคำพูดที่ถูกด้วยกันทั้งนั้น
เพราะมีความหมายมุ่งไปอย่างหนึ่งๆ :
รวมความแล้วคือ ดับตัวกู - ของกูเสียได้
ไม่มีความยึดมั่นตัวกู - ของกูเหลืออยู่
นั่นแหละคือใจความของการปฏิบัติ
ดับเสียได้คือตาย ฆ่าตัวกู ทำลายตัวกู ให้หมดเสีย
อย่างนี้เรียกว่าทำให้มันตายไปเสีย
ทีนี้ ไม่ตายก็หมายความว่าตัวกู - ของกูไม่มีแล้ว
ก็เหลืออยู่แต่
ธรรมะที่บริสุทธิ์ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่ไม่รู้จักตายคือนิพพาน,
คือธรรมชาติที่ไม่รู้จักตาย;
เข้าใจเสียให้ดีจะได้ไม่มีอะไรกีดขวางกัน
พูดว่า...
จงตายเสียให้เสร็จสิ้นในตัวเสียแต่ทีแรก,
ก็หมายความว่า :
อย่ามีความรู้สึกว่าตัวกู - ของกูมาเสียแต่ทีแรก
ให้ตลอดเวลาไปเลย...
นี้เรียกว่าตัวกู - ของกูมันตาย ไม่มีส่วนเหลือ
ตั้งแต่ทีแรกหรือตลอดเวลา
ถ้าตัวกู - ของกูมันตายเสียแล้วตั้งแต่ทีแรก
ก็เหลืออยู่แต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์...
ปรากฏออกมาแก่ความรู้สึกเป็นธรรมชาติที่ไม่รู้จักตาย:
เพราะมันไม่มีตัวกู - ของกู
มันจึงไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักตาย :
เพราะว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อะไรเหล่านี้
มันอยู่ที่ตัวกู - ของกูทั้งนั้น
จริงอยู่ที่สังขาร ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่า
ตัวกู และตัวกูเกิด แก่ เจ็บ ตาย;
ทีนี้ถ้าเราไม่ยึดถือว่าสังขารว่าเป็นตัวกู - ของกู
มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ,
ไม่เรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ;
เพราะว่าเอาความหมายคำว่าตัวกู - ของกูออกไปเสีย ไม่มีเหลืออยู่
ความเกิด แก่ เจ็บ ตายก็สูญเสียความหมายไปด้วย
เรียกว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
นี่มันผลัดกันพูดคนละทีหรือคนละแนวอย่างนี้
ระวังอย่าให้สับสนสำหรับคำพูดเพียงคำเดียวว่า
"ตาย" กับคำว่า"ไม่ตาย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น