++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความตายอันประณีต

ความตายอันประณีต

คำว่า"แน่" มีสักกี่คนที่จะไม่ชอบคำๆนี้ แต่............คำว่า"ไม่แน่"นี่สิชอบแต่พูดๆกัน
แล้วจะมีสักกี่คนชอบจริงๆกับคำว่า"ไม่แน่" ยิ่งชอบเท่าไรยิ่งใกล้พระพุทธเจ้าไปเท่านั้น เอวัง

                           เณรน้อยด้อยปัญญา
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"


                                                       ความตายอันประณีต


                   ประชากรโลกที่มีมากถึง 7,087 ล้านคน ที่ไม่รู้จะอยู่มุมไหนหรือส่วนไหนของโลกก็ตาม จะเป็นคนสันชาติไหน อยู่ฝั่ตะวันออกหรือฝั่งตะวันตก ขั้วโลกเหนือหรือใต้ที่เกิดมาล้วนแต่อาศัยกิน กาม เกียรติกันเป็นพื้นฐานกันทั้งนั้น ส่วนการศึกษาขึ้นอยู่ว่าไปเกิดที่ท้องถิ่นไหน บุญทำกรรมแต่งมาเช่นไร ไม่ต้องไปนับถึงสีผิว วรรรณะ ความร่ำรวยหรือยากจน มันย่อมผิดแผกแตกต่างกันไปทั่ว
                  เพราะโลกถูกจัดสรรมาเช่นนี้
                   มีคำถามหนึ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้คนทั่วโลกรู้จัก ได้ยินหรือเคยถามเช่นนี้กันมาแล้วทั้งนั้น
                  " เกิดมาทำไม "
                  แต่จะมีสักกี่คนดิ้นรนค้นหาคำตอบอย่างจริงจัง หรือว่าสงสัยอย่างชัดแจ้งว่า " เกิดมาทำไม "
                  ในท่ามกลางที่โลกทั้งใบแทบจะคิดเหมือนกันที่เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ เพราะท่ามกลางกระแสความคิดของผู้คนสมัยนี้ล้วนไหลไปในทิศทางเดียวกันที่เรียกว่า" กระแส " ความรวดเร็วของกระแสในหลายสิบประเทศแทบจะไม่ช้าไปกว่ากันเท่าไร
                   ยกตัวอย่างภาพยนตร์ดังหรือหนังฟอร์มยักษ์ เกือบจะฉายพร้อมกันทั่วโลกเป็นตัวอย่าง และที่ผู้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่างก็มาจากดูหนังดูละครกันส่วนหนึ่ง ดังได้เห็นแฟชั่นการแต่งกายหรืออะไรหลายๆอย่าง
                   แต่จะมีผู้คนสักกี่คนถามใจตัวเองว่า " เกิดมาทำไม "
                   เมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่านมา มีมหาบุรุษพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เป็นเจ้าชายแห่งกรุงกบิลพัสด์ราชธานีแห่งแคว้นสักกะ ทรงเติบโตมาพร้อมกับความเกษมสำราญ แต่พระองค์ยังทรงทุกข์อยู่ในใจ
                  จนทรงพบเห็นความจริงแห่งชีวืตคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นทุกข์
                  เมื่อพระองค์ไตร่ตรองโดยละเอียดแล้วว่าน่าจะมีหนทางแห่งการก้าวล่วงจากการเป็นทุกข์ไปได้
                  ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา
                   หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

                   จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์

                  หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี
                  ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

          ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

          ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

          ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา
                    หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

                     ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

                     ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

                     หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา
                     ในปัจจุบันที่เลยพุทธกาลมาสองพันกว่าปี ผู้คนต่างอยู่อย่างสบายสุดขั้วส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งยากจนข้นแค้นอย่างน่าอนาถ ดังจะเห็นได้จากประเทศอย่างอเมริกา และอาฟริกาเป็นตัวอย่าง
                     ผู้คนก็ยังคงตั้งคำถามเดิมๆอยู่กันว่า" เกิดมาทำไม "และยังคงหาคำตอบไม่พบ แต่ก็ยังคงดิ้นรนเสาะแสวงหากิน กาม เกียรติอย่างเมามัน เลยเถิดไปถึงการแสวงหาชีวิตที่เป็นอมตะ ที่มีเพียงแต่ในนิทาน
                     มีเพียงผู้คนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่เห็นโทษแห่งความลุ่มหลงกิน กาม เกียรติ และไม่อยากสนองความอยากหรือตัณหาแห่งตน ศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ที่ทรงตรัสสอนอย่างละเอียดในคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า" เกิดมาทำไม "
                     และพระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทุกข์ ที่มาแห่งทุกข์ สภาวะพ้นจากทุกข์ และหนทางแห่งทุกข์ที่เชื่อได้แน่ว่าทุกคนสามารถค้นพบ ที่เรียกว่า"สภาวะพุทธะแห่งตน"ในหนทางสายกลางที่เรียกว่ามรรคที่มีองค์แปด
                     การฟังเทศน์ ตรึกธรรม สอนธรรม สวดมนต์ เตริญภาวนานับเป็นเครื่องมือชั้นเลิศแห่งหนทางสายกลางที่จะตอบคำถามที่กล่าวได้อย่างชัดแจ้ง
                      เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายลงมือทำกันแล้วหรือยัง..........เท่านั้น
                      เมื่อท่านได้พบหนทางแห่งการเกิดดับหรือความตายอันประณีตแล้ว ความสิ้นสงสัยก็จะบังเกิดขึ้น  เอวัง

                                                                              เสียงออนไลน์

                    หมายเหตุ
                    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
                    ประชากรโลก เป็นจำนวนมนุษย์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก ปัจจุบัน สำนักสำมะโนสหรัฐอเมริกา (USCB) ประมาณว่าประชากรโลกมี 7,087 ล้านคน[2] โดย USCB ประมาณว่าประชากรโลกมีเกิน 7 พันล้านคนเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2012[3] ตามข้อมูลการประมาณของกองทุนประชากรสหประชาชาติ ประชากรโลกมีเกิน 7 พันล้านคน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2011[4][5][6]

ประชากรโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องนับแต่ทุพภิกขภัยใหญ่และแบล็กเดทในปี 1350 เมื่อประชากรโลกมีราว 370 ล้านคน[7] อัตราการเติบโตสูงสุดที่กว่า 1.8% ต่อปี เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และอีกระยะหนึ่งระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อัตราการเติบโตสูงสุดที่ 2.2% ต่อปีในปี 1963 และปัจจุบันคาดว่ายังค่อนข้างคงที่ที่ระดับอัตราการเติบโตเมื่อปี 2011 ที่ 134 ล้านคนต่อปี[8] ขณะที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 56 ล้านคนต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคนต่อปีเมื่อถึงปี 2040[9]

ผลการคาดคะเนปัจจุบันแสดงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของประชากรในอนาคตอันใกล้ (แต่มีอัตราการเติบโตของประชากรลดลงสม่ำเสมอ) คาดว่าประชากรทั่วโลกจะถึงระหว่าง 7,500 ถึง 10,500 ล้านคนในปี 2050[3][10][11] การประมาณระยะยาวกว่านั้นทำนายประชากรโลกเมื่อถึงปี 2150 ไว้หลากหลาย ทั้งเติบโต ซบเซา หรือกระทั่งลดลงในภาพรวม[12] นักวิเคราะห์บางคนตั้งคำถามว่า ประชากรโลกจะเติบโตได้ต่อไปหรือไม่ โดยอ้างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ปริมาณอาหารโลก และทรัพยากรพลังงาน[13][14][15]
                         http://hilight.kapook.com/view/37629
                       
                   

                         ขอขอบคุณท่าน เสียงออนไลน์ครับ ที่ยังเจ็บป่วยอยู่ แต่ก็ยังมีตามหาแก่นธรรมตอนล่าสุดมาให้อ่านกันอีก ขออนุโมทนาและสาธุการครับ หายป่วยไวๆนะครับท่าน

                                                สะมะชัยโย

                               หมายเหตุแก่นธรรมวันนี้
                       ๑. ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
                       ๒. เพื่อนๆพี่น้องครับ ผ้าป่าแก่นธรรมสามัคคีฯที่ห่างหายกันไปนานหลายปี ขอจัดใหม่ในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนของปีนี้แล้วแต่หลวงพ่อเจ้าคุณเจ้าอาวาส จะไปทอดที่วัดสุนทรธรรมทาน( แค นางเลิ้ง )เพื่อบูรณะโบสถ์และก่อสร้างถาวรวัตถุทางธรรม และนำอีกส่วนหนึ่งไปบริจาคให้โรงพยาบาลจุฬา สภากาชาด เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยอนาถาที่มีจำนวนมากขึ้นทุกวันๆ ต่อชีวิตกันไป สามเณรในครั้งพุทธกาลยังรอดจากกรรมเก่าเพราะช่วยชีวิตปลาเลย
                       มาก่อกุศลกรรมร่วมกันเถอะครับ วันเวลาจะเเจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง การดำเนินการรูปแบบเดิม พบกันที่วัดนะครับเพื่อนๆพี่น้องแก่นธรรมทั้งหลาย อ้อกองทุนพระรัตนตรัยบริจาคแรกเริ่มสองหมื่นบาทถ้วนแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น