++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดาบเด็ดเดี่ยว ภาคพิเศษย้อนรอยยอดยุทธ

ดาบเด็ดเดี่ยว ภาคพิเศษย้อนรอยยอดยุทธ

                  วิบากกรรม ชักนำ ซึ่งความรัก
                  ได้ประจักษ์ เห็นแจ้ง ก็ครานี้
                  พบและจาก หลายภพ ก็ตามที
                  แต่กลับหนี ไม่พ้น ความงดงาม

                  แต่ปางก่อน หลายภพ ที่ผุดขึ้น
                  ล้วนถูกดึง ให้ได้พบ สิ่งทั้งสาม
                  ทั้งงามนอก งามใน ใจงดงาม
                  จึงติดตาม ต่อภพ ทุกชาติไป

                  มาครานี้ เภทภัย คุกคามโลก
                  เป็นความโศก ใจเหือดแห้ง ที่ไหนไหน
                  หากหลงผิด สิ้นคิด ทุกแห่งไป
                  สว่างได้ มีเพียง แต่แสงธรรม


               


                 ความรัก แม้จะมีคุณค่ามากมาย แต่จะมีผู้ใดกกล้าล่าววาจาโต้แย้งกับคำพูดที่ว่า
                 " เมื่อมีความรักเฮือกแรกแห่งลมหายใจ เมื่อนั้นจะเป็นลมหายใจนเฮือกสุดท้ายแห่งความฉลาด "

                                                                   มีดบิน
               
 

            แม้นสู้ทน ฝึกยุทธ จนแคล่วคล่อง
             ดาบก็ว่อง จิตก็ไว สมาธิมั่น
             ออกจากฝัก ดาบนั้น สะบัดพลัน
             ไม่หุนหัน ถูกเป้าหมาย ขาดทันที

             บุญก็มี วาสนา ตามเสริมส่ง
             อาจารย์ส่ง ตามมา ส่งเสริมศรี
             วิทยายุทุธ ก้าวล้ำ เดินหน้าดี
             เร่งวิถี ฝึกฝน เป็นยอดคน

             รู้เรื่อยเรื่อย มาเรียงเรียง เพียรฝึกฝน
             ร่ายรำตน ด้วยลีลา กลางเวหน
             สะบัดมือ สะบัดเท้า ด้วยจิตตน
             จิตฝึกฝน สติตั้ง ปัญญาตาม

              ฝึกไม่เลิก ทุกชั่วยาม ตามที่จิต
              ให้สติ รู้ตัว ทุกสนาม
              สติมั่น สมาธิ เฝ้าติดตาม
              จนได้สาม ยอดวิชา เลื่องลือไกล

               ฟงหยุนถี่ ลีลา รวดเร็วยิ่ง
               พลังนิ่ง กว่าอื่นอื่น เป็นไหนไหน
               ดาบอัคคี สายฟ้า ฟาดฟันไกล
               ไม่หวั่นไหว กระบี่เพชร อยู่ในมือ

               อีกทั้งยัง มียอด ฝ่ามือเทพ
               ที่สรรค์เสก อ่อนเป็นแข็ง ใครกล้าหือ
               สะบัดมือ สิบแปดท่า อันเลื่องลือ
               สนั่นมือ เทพมังกร พิชิตมาร

               นอกจากนี้ ยังได้พบ ธรรมวิเศษ
               ละกิเลส ไปได้ อย่างห้าวหาญ
               จิตสงบ ใจไม่สั่น เมื่อเจอมาร
               ใจประสาน ถ่ายทอด ปราณออกมือ

                แต่ที่ยาก ไปกว่า ธรรมทั้งผอง
                ไม่ได้ลอง แต่ได้พบ ตามกรรมถือ
                วิ่งตามภพ ตามชาติ ยากรับมือ
                ดั่งเลื่องลือ กำแพงรัก ยากข้ามไป
               
                "เทพกระบี่ซา"

                    ในขณะที่เทพกระบี่ซายืนเกร็งพลังลมปราณภายในที่หมุนเวียนให้ทะลุทั่วทุกจุดสำคัญในร่างของเขา และรู้ว่าพลังที่เพิ่มขึ้นในนิมิตรมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแม้ไม่เทียบเท่ากันก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นพลังสะท้านโลกอยู่ดี
                      จิตของเขากลับคิดไปถึงเมื่อครั้งเยาว์วัย ที่เริ่มหัดกระบี่มาตั้งแต่อายุห้าปี จนถึงวัยสิบเจ็ดปี ฝึกแทงกระบี่แต่ละกระบวนท่าที่คิดค้นดัดแปลงจากท่านอาจารย์ จนบัญญัติขึ้นเอง ไม่ต่ำกว่าหมื่นครั้งต่อวันต่อหนี่งกระบวนท่า
                       เมื่ออายุครบยี่สิบปีออกผาดโผนในยุทธภพตงง้วน สามารถโค่นเจ้าสำนักกระบี่ไปทั่วหล้าอีกทั้งไม่มีมือกระบี่ใดสามารถรอดพ้นไปจากคมกระบี่ของเขาได้แม้สักผู้หนึ่ง และสังหารยอดยุทธที่เป็นมารยุทธภพไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน
                       จนได้รับขนานนามว่า"เทพเจ้ากระบี่ซา"
                       ภายหลังได้รับคำท้าประลองกระบี่กับจอมมารกระบี่อี้ผู้บรรลุเทพวิชาสิบสามกระบี่อันร้ายกาจยากจะหาผู้ต้านทานได้เกินกระบวนท่าที่สามได้เลยสักผู้หนึ่ง
                       ในระหว่างประลองกันระหว่างเทพเจ้ากระบี่ซาและจอมมารกระบี่อี้  จอมมารกลับบรรลุมหาเทพวิชากระบี่มารในกระบวนท่าที่สิบสี่ ซึ่งออกจะเหี้ยมโหดรุนแรงอำมหิต ในขณะเดียวกันนั้นเองจอมมารกระบี่อี้กลับบรรลุธรรมเป็นอริยชน เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปพร้อมกัน
                         จอมมารจึงเกรงว่าจะก่อเภทภัยให้ยุทธภพในขณะที่ใช้กระบวนท่าที่สิบสี่ออกไป กลับผ่อนลมปราณลงเหลือเพียงเก้าส่วนเพื่อให้เทพเจ้ากระบี่ซาสังหารตนเอง แม้จิตมารจะไม่ครอบงำอีกแล้วก็ตาม
                        เทพเจ้ากระบี่ซาทราบในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่ไม่สามารถยับยั้งเพลงกระบี่สุดขั้วแห่งทวยเทพของเขาได้ จึงได้สังหารจอมมารกระบี่อี้ด้วยกระบวนท่านี้อย่างไม่ตั้งใจเพราะสู้เต็มกำลัง
                         และในพริบตาหลังจากจอมมารได้สั่งเสียเทพเจ้ากระบี่ซาว่าให้ทำลายมหาเทพวิชากระบี่มารทิ้งเสียเพื่อไม่ให่ก่อเภทภัยกับผู้ใดในยุทธภพอีก ร่างของจอมมารก็ลุกเป็นไฟที่ปราศจากความร้อน ทำลายร่างตนเองจนหมดสิ้น
                         เทพหริอมาร ธรรมะหรืออธรรม ย่อมบังเกิดขึ้นได้แต่เพียงในใจผู้คนเท่านั้น                        
                         เทพเจ้ากระบี่ซากลับไปยังหมู่บ้านตน ประกาศทิ้งกระบี่โดยไม่จับกระบี่ที่ตีขึ้นทุกชนิดและไม่ฝึกกระบี่อีกเลยตั้งแต่นั้นมา หมู่บ้านของเขาจึงเรียกว่าหมู่บ้านทิ้งกระบี่หรือหมู่บ้านแขวนกระบี่ และไม่ให้ผู้ใดเรียกตนว่าเทพเจ้ากระบี่อีกต่อไป จึงมีแต่ผู้ที่เรียกขานเขาว่า"เทพกระบี่ซา"
                       
                       
                         ลี้กิมฮวย
                       

                        ในบรรดาสิบลำดับยอดฝีมือในตำราวิจารณ์อาวุธของแป๊ะเฮี่ยวเซ็งในยุทธภพ

1.กระบองฟ้าเทียนกี - เทียนกีเล่านั้ง (ผู้เฒ่าแซ่ซุนที่เป็นนักเล่านิทาน)

2.ห่วงหงส์มังกร (เล้งหงษ์ฮ้วง) - เซี่ยงกัวกิมฮ้ง (หัวหน้าพรรคกิมจี้ปัง หรือพรรคเหรียญทอง)

3.มีดบินของลี้น้อย(เซี่ยวลี้ปวยตอ) - ลี้คิมฮวง (ลี้น้อยมีดบิน ลี้ถ้ำฮวย)

4.กระบี่เหล็กซงเอี้ยง (ซงเอี้ยงทิเกี่ยม)- ก้วยซงเอี้ยง (แห่งหมู่บ้านกระบี่เหล็ก)

5.หอกเงิน - ลู่ฮงเชย (เจ้าน้อยหอกเงิน)

6.แส้อสรพิษ (เปี้ยงซิ้ง) - ไซมึ้งยิ้ว

7.ไม้เท้าเหล็กเทวราช (กิมกังทิไกว้) - จูกั้วกัง

8.ไม่มีระบุในเรื่อง

9.หัตถ์อสูรเขียว (แชม้อชิ้ว) - อีเข่า

10.ขลุ่ยหยก - เง็กเซียว

               แต่ภายหลังจากที่ลี้คิมฮวงหรือลี้ถ้ำฮวยฉายาว่า “ลี้น้อยมีดบิน” หรือ “เซี่ยวลี้เฟยตอ(????)”(มีดบินที่ไม่เคยพลาดเป้า )ได้ต่อสู้กับเซี่ยงกัวกิมฮ้ง และสุดท้ายก็ยังคงความจริงเช่นนั้นได้ว่าลี้น้อยมีดบินที่ไม่เคยพลาดเป้า
               ในชั้นหลังเอี๊ยบไค(ผู้ร่าเริง ผู้เบิกบาน)มีดบินชั้นหลัง พลังฝีมือกลับร้ายกาจกว่าลี้คิมฮวง เพราะมีดบินของเอี๊ยบไคมิได้ใช่ฆ่าคน แต่เอาไว้ช่วยคน พลังฝีมือทั้งหมดมาจากความว่างหรือพลังที่ยิ่งใหญ่
                จวบจนปัจจุบันกลับปรากฎว่ามีผู้ใช้มีดบินของผู้แซ่ลี้ออกมาในยุทธภพคือลี้กิมฮวย
                เซียวลี้ปังตอหรือปังตอน้อยมิเคยพลาดเป้า ซึ่งกล่าวกันว่าพลังฝีมือสูงล้ำกว่าผู้เป็นปรมาจารย์หรือแม้กระทั่งเอี๊ยบไคเสียอีก
                คลื่นลูกใหม่ย่อมไล่คลื่นลูกเก่าด้วยความแรงที่แรงกว่า
                แต่ไม่ปรากฎพื้นเพของผู้แซ่ลี้นามกิมฮวยรุ่นหลังนี้ เพียงแต่รู้จากการต่อสู้

                 มีดบินมังกรจักรวาล


                ในตำนานมีดบินที่ไม่เคยพลาดเป้าแห่งผู้ไร้ต้าน
                แม้ลิ้มคิมฮวง ปรมาจารย์แห่งเซียวลี้ปวยตอหรือมีดบินที่ไม่เคยพลาดเป้า ก็ยังไม่บรรลุวรยุทธแห่งรูปเท่านั้น เพราะท่านหลงจมปลักอยู่กับความรัก
               เอี๊ยบไค ผู้รับถ่ายทอดวิชามีดบินแห่งผู้เเซ่ลี้กลับเด่นล้ำกว่าเพราะ เอี๊ยบไคใช้มีดบินเพื่อปกป้องและเมตตา จึงบรรลุวรยุทธแห่งการไร้รูป
                แต่สำหรับลี้กิมฮวย กลับบรรลุธรรมถึงชั้นอริยชน ทำให้การบรรลุวรยุทธของลี้กิมฮวยไปถึงขั้นไร้รูปไร้นาม ซึ่งมีเพียงแต่ลี้กิมฮวยเท่านั้นที่รู้แต่เพียงผู้เดียว
                พลังแห่งมีดบินแห่งลี้กิมฮวยในสามมีดบินสุดยอด"มีดบินมังกรจักรวาล"คือ
                ศีลสง่า ที่มีพลังชำระบาปทุกชนิด เพิ่มบุญกุศล จิตแผ้ว
                สมาธิ มั่นจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
                ปัญญาไสว สว่างล้นจนเห็นการเคลื่อนไหวทุกสรรพสิ่ง

                 ชอลิ้ม
                    ชอลิ้วเฮียง (จีน: ???; Chu Liu Xiang) ขุนโจรทิ้งกลิ่นหอม ผู้ที่ไม่มีสิ่งใดที่เขาปรารถนาจะขโมยแล้วขโมยไม่ได้ กำลังภายในสูงส่ง วิชาตัวเบาลึกล้ำ
               ไม่ทราบสังกัดสำนักอาจารย์ ไม่ใช้อาวุธคู่กายใด ๆ มีเพียง หนึ่งสมอง สองมือ และ ดรรชนีปาฏิหาริย์ เท่านั้น รูปพรรณสัณฐาน และ อายุ ไม่ระบุชัด แต่มีพฤติกรรมแปลก ๆ ที่ชอบจับจมูกของตนเอง เวลาคิดเรื่องต่าง ๆ เนื่องจากเป็นโรคทางจมูก(ไซนัส)จึงทำให้ชอลิ้วเฮียงฝึกวิชาที่สามารถหายใจผ่านผิวหนังได้
                ขุนโจรแซ่ชอ อาศัยอยู่บนเรือสำราญ กับหญิงสาวสะคราญโฉมคู่ใจ 3 นางที่มีความเป็นมาลึกลับไม่ต่างกับเขา
               โซวย่งย้ง ผู้ชำนาญการแปลงโฉม อ่อนหวาน เยือกเย็น แต่มีความลับซ่อนอยู่ในใจ
                ซ่งเตี๊ยบยี้ น่ารัก ทำอาหารเก่ง และอายุน้อยที่สุดบนเรือสำราญ
                ลี้อั๊งซิ่ว ผู้รอบรู้เรื่องราวในยุทธจักรกระจ่างดุจเส้นบนฝ่ามือ
                เพื่อนสนิทที่สุด เติบโตมาด้วยกันแต่เยาว์วัย คือ โอ๊วทิฮวย แมวเมามาย ศัตรูสำคัญของเขา มีทั้ง หลวงจีนบ้อฮวย (ไร้บุปผา) เจี๊ยะกวนอิม (กวนอิมศิลา) เจ้าแม่วังน้ำทิพย์ ฯลฯ แต่ด้วยปฏิภาณไหวพริบ ทำให้เขารอดพ้นภัยอันตรายมาได้ทุกครั้ง
                ( ชอลิ้วเฮียงจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )
                ในสิบปีที่ผ่านมาปรากฎบุรุษรูปงามราวกับมหาเทพเกิดขึ้นในยุทธภพ มีวิชาดรรชนีปาฏิหาริย์เป็นวิทยายุทธประจำตัว พลังภายในสูงส่งยากคาดเดา วิชาตัวเบาลึกล้ำ  อีกทั้งยังมีมหาเทพวิชาลึกลับที่สามารถตัดสินการต่อสู้กับเหล่าจอมยุทธผู้ที่ประลองยุทธด้วย และได้ชัยชนะในชั่วพริบตา ราวกับมหาเทพสะบัดมือ
                ใบของเขาหน้าคมเข้ม คิ้วโกร่งดังคันศร ตาแหลมคมดุจอินทรี จมูกสวยงามโด่งสันรับกับริมฝีปากสวยงามราวอิสตรี มีคางบุ๋ม ใบหน้าแม้สวยงามแต่ดูทรนงอจอาจ ร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแห่งพลังฝึกปรือพลังภายนอก
                 เคลื่อนไหวไปมาราวกับใช้เวทย์มนต์
                 ทุกวันนี้ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมหาเทพวิชาของเขาเลย เว้นเสียแต่คนอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ได้ต่อสู้กับเขาเท่านั้น ผู้คนที่ล้วนเป็น..........คนตาย
                ในยุทธภพต่างยอมรับชื่อเสียงเขาอย่างกว้างขวาง และขับขานเรื่องราวของเขาออกมาเป็นเสียงเพลง
                 และกล่าวขานชื่อของเขาทุกซอกซอยทั่วแผ่นดินว่าเทพแห่งผู้ไร้รอย...ชอลิ้ม
               

                 อินทรีย์ หรือ อินทรีย์ 5 คือ ความสามารถหลักทางจิต ห้า ประการได้แก่
                 สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธา ในโพธิปักขิยธรรม
                 วิริยินทรีย์ คือ ความเพียร ในสัมมัปปธาน
                 สตินทรีย์ คือ ความระลึกได้ ในสติปัฏฐาน
                 สมาธินทรีย์ คือ ความตั้งมั่น ในญาณ
                 ปัญญินทรีย์ คือ ความเข้าใจ ในอริยสัจ

                 อินทรีย์ 5 เป็นหลักธรรมที่คู่กับ พละ 5
                 สัทธินทรีย์ เปรียบเสมือน การหาภาชนะดีๆมาใส่น้ำ
                 วิริยินทรีย์ เปรียบเสมือน การเติมน้ำสะอาดแทนน้ำสกปรกเสมอ
                 สตินทรีย์ เปรียบเสมือน การระวังไม่ให้สิ่งใดหล่นใส่ในน้ำ
                 สมาธินทรีย์ เปรียบเสมือน การถือภาชนะใส่น้ำไว้นิ่งๆและไม่ให้สิ่งใดมากระทกระเทือนให้หวั่นไหว
                  ปัญญินทรีย์ เปรียบเสมือน การเห็นนำสิ่งสกปรกออกจากน้ำ
อินทรีย์ 5 กับ อิทธิบาท 4

                   อินทรีย์5เป็นธรรมที่ส่งเสริมธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งกุศลคืออิทธิบาท4
สัทธินทรีย์ ส่งเสริม ฉันทะอิทธิบาท ความยินดีพอใจ วิริยินทรีย์ ส่งเสริม วิริยะอิทธิบาท ความเพียร แข็งใจปฏิบัติ สมาธินทรีย์ ส่งเสริม จิตตะอิทธิบาท ความตั้งใจ ปัญญินทรีย์ ส่งเสริม วิมังสาอิทธิบาท ความเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้น พิจารณาใคร่ครวญ อิทธิบาททั้ง 4 ก็จะมาส่งเสริม สตินทรีย์
                   อ้างอิง
                   สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. นวโกวาท. กรุงเทพ: สำนักพืมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐                  

                    เล็กสี่คิ้วนิ้วปาฎิหารย์

                   เมื่อหลายสิบปีก่อนมีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งอายุเพียงสามปี ถูกทอดทิ้งไว้ที่วัดเส้าหลิน ใบหน้าหมดจดหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโต ผิวพรรณขาวสะอาด แต่ผิดแผกไปจากเด็กคนอื่นตรงที่...มันมีหนวด
               หลวงจีนเฒ่าเล็กซ้งเอี๊ยะผู้ดูแลหอคัมภีร์ได้เก็บมันมาชุบเลี้ยงไว้ พร้อมทั้งสอนให้เด็กน้อยรู้จักวรยุทธ โดยให้ใส่ห่วงเหล็กและถุงมือเหล็กตั้งแต่นั้นมา
               ในตอนเช้าของทุกวัน เด็กน้อยก็จะให้ใช้ฝ่ามือแทงกระทะทรายร้อน วันละกว่าพันหน
                พออายุได้เก้าปี ก็ได้พบกับสาวงามนามจิวหยงหยง เธอได้สอนให้เด็กน้อยได้รู้จักวิชาหมัดมวยประหลาด เสียบ สอด จิ้ม  ตั้งรับและรุกพร้อมกันเป็นวงกลมหรือว่าจะเป็นหมัดหยงชุนที่ลือเลื่อง และยังสอนวิชาตัวเบาให้เด็กน้อย จนยากที่ผู้ใดจะไล่ติดตามทัน
                เมื่ออายุได้สิบสี่ีเด็กน้อยที่ถูกหลวงจีนเฒ่าเรียกว่าเล็กน้อย ก็ได้ถูกถ่ายทอดพลังลมปราณจากหลวงจีนเฒ่า และหลวงจีนเฒ่าก็ได้ละสังขารไปตั้งแต่ตอนนั้น
                 อายุสิบห้าปีวัดเส้าหลินถูกมองโกลเผาทิ้ง ทั้งศิษย์บรรชิตและฆราวาสต่างหลบหนีออกไปจากวัด เล็กน้อยก็หนีไปกับจิวหยงหยง
                 ในระหว่างทางได้พบกับเหล่าทหารยอดยุทธของมองโกลกว่าหกสิบคน และได้เปิดฉากต่อสู้กัน จิวหยงหยงบาดเจ็บแล้วภายหลังจากที่ล้มทหารมองโกลไปได้กว่าสิบคน
                  ในบรรดาทหารมองดกลทั้งหมด มีผู้หนึ่งร่างกายสูงใหญ่ทรงพลังที่สุดได้ต่อสู้กับจิวหยงหยงตัวต่อตัว และทำให้จิวหยงหยงบาดเจ็บสาหัส
                   แต่มีดาบใหญ่อีกผู้หนึ่งได้ฟาดดาบใส่จิวหยงหยง ในฉับพลันนั้นเองกลับมีนิ้วของเด็กชายสองนิ้วคือนิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบดาบใหญ่นั้นไว้ได้และผู้ใช้ดาบก็ไม่สามารถจะขยับเขยื้อนดาบออกไปได้
                   กลับเป็นนิ้วสองนิ้วของเด็กชายนามเล็กน้อยนั้นเอง ทำเอาเหล่าทหารกล้าของมองโกลแตกตื่นใจ
                   "ปึ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
                   สี่สิบแปดหมัดที่ซัดออกไปจากเด็กชายแซ่เล็ก ทุกหมัดล้วนล้มทหารกล้ามองโกลร่างใหญ่ไปทั้งสิ้นสี่สิบแปดนาย
                   คงเหลือผู้ที่ร่างกายใหญ่ที่สุดนามอ๋องตองก้าและดาบใหญ่นามซังปอย
                   เมื่อดาบใหญ่ซังปอยถูกเด็กชายคีบดาบของตนที่ฟาดฟันออกไปได้ย่อมละอายและโกรธแค้น จึงกลับเข้าเล่นงานเด็กชายเล็กอีกครั้งหนึ่ง
                    "ฉับ"
                     เด็กชายเล็กพริ้วกายหลบทันดูคล้ายเฉียดฉิว
                     "ปึ๊กๆๆ"
                     ซัดหมัดออกไปสามหมัดโดนหน้า หน้าอกและท้องของซังปอยจนสะบัด จุกจนหน้าเขียว เร็วกว่าที่เห็น เด็กแซ่ลี้กระโดดถีบอีกครั้งหนึ่งจนร่างใหญ่กระเด็นไปกว่าสามต้นไม้ใหญ่กระแทกต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งและล้มฟุบไป
                      "ตูม"
                      "เจ้าเด็กน้อยหงวดนาม ฝีมือกล้าแข็งนัก ข้าอ๋องตองกล้า ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งมองโกลจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง"
                       เมื่อคำพูดกล่าวจบ หมัดใหญ่พลังสิบส่วนก็ถูกซัดออกมา
                       "ตูม"
                       เด็กชายเล็กซัดสองหมัดออกต้านรับ แต่กลับทำให้อ๋องตองก้าตื่นใจเพราะลมปราณภายในปั่นป่วนแล้ว จึงชักดาบออกมา คิดใช้วิชาดาบสามคลื่นที่ทำให้ตนเลื่องลือชื่อออกมา
                        "พอเถอะท่านลุง เสียหายเยอะมากเเล้ว"เด็กชายเล็กพลันกล่าวขึ้นมา
                         แต่ดาบสามคลื่นกลับถูกฟาดออกมาแล้วโดยที่เด็กชายก็คิดไม่ถึง
                         "เปรี้ยง"
                         ดาบใหญ่สามคลื่นกลับถูกเด็กชายหนวดงามคีบเอาไว้ได้ พลันมันกลับฟันฝ่ามือซ้ายออกไปยังดาบที่คีบอยู่
                         ดาบใหญ่หักเป็นสองท่อน แล้วมันก็ประคองจิวหยงหยงเดินหายลับไปจากสายตาของอ๋องตองก้าที่ตะลึงงงอยู่ณ.ที่นั้น
                         สิบปีต่อมา...........ในยุทธภพเลื่องลือชื่อจอมยุทธหนุ่มที่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านพลังยุทธสูงส่ง วรยุทธเด่นล้ำ วิชาตัวเบาเป็นเลิศ ไม่มีศาสตราวุธใดๆเล่นงานมันได้ หากแต่ถูกนิ้วสองนิ้วของมันคีบไว้หมด ไปที่ไหนล้วนแต่ผู้คนจำได้ เพราะมันผู้นั้นมีสี่คิ้วหรือหนวดที่เรียวงาม มันจึงได้ฉายาว่า"เล็กสี่คิ้วนิ้วปาฎิหารย์"

                        ไซมึนช่วยเซาะ
                    ในบรรดาเพื่อนสนิทที่เล็กสี่คิ้วนับถือและเกรงกลัวที่สุดในชีวิต ย่อมหนีไม่พ้นไซมึนช่วยเซาะ" สุดยอดมือกระบี่แห่งจักรวาล "
                    พลังยุทธของมันไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งตัวของมันเอง
                    นิ้วที่ทรงพลังของผู้แซ่เล็กที่สามารถคีบกระบี่ได้ไปทั่วจักรวาล ก็ยังคงไม่มั่นใจปลายกระบี่ของไซมึนช่วยเซาะ
                   อีกทั้งยังขาดความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
                   มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไซมึนช่วยเซาะขอประลองฝีมือกับเล็กสี่คิ้ว
                    การประลองยุทธนั้นย่อมไม่มีการออมมือ เพราะกระบี่ย่อมเป็นกระบี่
                    กระบี่ของไซมึนฯเมื่อหลุดออกจากฝัก ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสุดขั้วและความเร็วที่ยากจะหาผู้ใดมองเห็นได้ ความเร็วที่เหนือความเร็วทั้งปวง ยากที่จะเปรียบเทียบได้
                   ในหนึ้งร้อยแปดสิบสองกระบวนท่าระหว่างสองยอดยุทธ
                  "กระบี่ไร้อนาคต" เป็นการแทงซ้อนด้วยพลังลมปราณหนึ่งร้อยแปดครั้งของไซมึนช่วยเซาะแต่พุ่งใส่เล็กสี่คิ้วเพียงครั้งเดียว
                  เล็กสี่คิ้วกลั้นลมหายใจกระแทกศอกขวาด้วยฝ่ามือซ้ายปัดกระบี่นี้ พร้อมที่จะคีบกระบี แล้วก็ทำสำเร็จ แต่ปลายกระบี่นั้นยังคงทิ่มแทงไปที่หน้าอกของเล็กสี่คิ้ว ห่างจุดตายไปสองนิ้ว
                 ย่อมมิใช่การออมมือ กระบี่ที่ดีย่อมเป็นกระบี่
                 ตั้งแต่รอดตายคราวนั้น เล็กสี่คิ้วกลัวคำพูดของไซมึนช่วยเซาะที่สุดคือ
                "รับกระบี่"
                ในสามร้อยวันที่ยอดยุทธทั้งสองไม่ได้เจอกันวรยุทธของเล็กสี่คิ้วพัฒนาไปมากกว่าสิบเท่า
แต่ใยเล็กสี่คิ้วยังกลัวคำพูดของไซมึนช่วยเซาะที่สุดคือ
                "รับกระบี่"อีกเล่า

                 ( ขอกราบขอบพีระคุณท่านผู้เผยแพร่ข้อมูลและรูปภาพทางอินเตอร์เน็ท )    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น