++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

ยอมรับได้ ใจก็สงบ พระไพศาล วิสาโล

ยอมรับได้ ใจก็สงบ
พระไพศาล วิสาโล
ความทุกข์ของผู้คนในปัจจุบัน ที่เป็นทุกข์กายนั้นน้อยมาก ส่วนใหญ่ทุกข์ใจกันทั้งนั้น และที่ทุกข์ใจก็ไม่ได้เป็นเพราะสิ่งภายนอกมากเท่ากับเป็นเพราะใจของตัว นั่นคือความคิด อย่างที่พูดเมื่อวาน คนเราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิด จมอยู่กับอดีตบ้าง พะวงกับอนาคตบ้าง ไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบัน หรือไม่ก็คิดปรุงแต่งไปในทางลบ รวมทั้งชอบคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มีมากกว่า มีดีกว่า รวมทั้งการด่วนสรุป ไม่รู้จักทักท้วงความคิดตนเองบ้าง
ที่จริงแล้วนอกจากทุกข์เพราะความคิดแล้ว คนเรายังทุกข์เพราะความรู้สึก ทุกข์เพราะความรู้สึกที่ต่อต้าน ปฏิเสธไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ใจที่ไม่ยอมรับผลักไสสิ่งที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งก่อให้เกิดความทุกข์ยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเสียอีก เช่นอากาศร้อน หรือความหนาว มันทำให้เกิดความทุกข์กายก็จริง แต่ก็ไม่มากเท่ากับความทุกข์ที่เกิดจากใจที่ต่อต้าน ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ
เวลาเงินหาย โทรศัพท์หาย คอมพิวเตอร์หาย มันไม่ได้ทำให้ทุกข์มากเท่ากับใจที่ไม่ยอมรับความสูญเสียเหล่านั้น เงินหายของหายไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกข์ใจ แต่พอใจไม่ยอมรับ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่ใจทันที แทนที่จะเสียแต่เงินก็เสียใจด้วย พอเสียใจแล้วมันก็ไม่ได้จบแค่นั้น บางทีก็ทำให้ไม่มีสมาธิกับงาน อย่างมีบางคนเล่าว่าให้เพื่อนยืมเงินไป เป็นเงินก้อนใหญ่ และทำท่าว่าจะไม่ได้คืน เธอทั้งเสียใจทั้งโมโห เวลาทำงานก็ไม่มีสมาธิ เพราะนึกถึงแต่เรื่องนี้ ก็เลยเสียงาน ไม่ใช่แค่นั้นพอเครียดมาก ๆ ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สุขภาพก็เสีย เสียงานและเสียสุขภาพยังไม่พอ พออารมณ์เสียก็ระบายใส่คนใกล้ตัว เช่น ระบายใส่ลูก ระบายใส่เพื่อน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร พอระบายความเครียดใส่เขา ก็เลยโกรธกัน เสียความสัมพันธ์ไปอีกหนึ่ง กลายเป็นว่า แทนที่จะเสียเงินอย่างเดียว ก็เสียใจ เสียงาน เสียสุขภาพ และเสียความสัมพันธ์ นี่เป็นเพราะวางใจไม่ถูกต้อง
ที่จริงกรณีนี้ เสียเงินหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ เพราะอาจเป็นการด่วนสรุปว่าเขาโกงเงินไป แต่สมมติว่าเสียเงินไปจริง ๆ ก็ควรเสียแค่นั้น ไม่ควรเสียมากกว่านั้น แต่พอใจไม่ยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เลยเสียอีกหลายทอด เสียใจ เสียสุขภาพ เสียงาน และเสียความสัมพันธ์ ล้วนแล้วแต่ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น อาตมาถึงบอกว่าเสียเงินยังไม่เท่าไร แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าเสียเงินไปแล้ว ต่างหากที่เป็นปัญหามากกว่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา แม้จะแย่ก็ไม่แย่เท่ากับใจที่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น
มีคน ๒ คน คนหนึ่งเป็นมะเร็ง แต่เขายอมรับได้กับโรคมะเร็งที่เกิดขึ้น ไม่ตีโพยตีพาย ไม่บ่นโอดโอย ใจก็เลยเป็นปกติได้ อีกคนหนึ่งสุขภาพดี มีกินมีใช้ งานการก็ดี แต่ว่าเพียงแค่มีสิวไม่กี่เม็ดที่หน้า ใจยอมรับไม่ได้ที่หน้ามีสิว เอาแต่กังวลถึงเรื่องนี้ เวลาส่องกระจกก็หงุดหงิดไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น เชื่อไหมว่า คนนี้กลับทุกข์มากกว่าคนแรกด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนแรกมันหนักหนาสาหัสกว่าคนที่ ๒ แต่คนแรกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขาก็เลยกินได้ นอนหลับ ยิ้มได้ ส่วนคนที่ ๒ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แม้เป็นเพียงแค่ปัญหาน้อยนิด ก็เลยเป็นทุกข์ กลุ้มอกกลุ้มใจ มีบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกอับอาบขายหน้า
ใจที่ไม่ยอมรับ ใจที่ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นคือต้นเหตุหรือที่มาของความทุกข์ที่เกิดกับผู้คนมากมาย มันมีหลายเหตุผลที่ทำให้เราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น เป็นเพราะมีความคาดหวังว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นกับฉัน
ผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโมชอบทำบุญทำกุศลตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะเชื่อว่าการทำบุญทำกุศล จะทำให้แคล้วคลาดจากอันตราย มีความสุขความเจริญ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่แล้วก็มาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขายอมรับไม่ได้ ตีโพยตีพายทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันทำดีแต่ไม่ได้ดี นอกจากเสียใจ ตีโพยตีพายแล้ว ยังรู้สึกโกรธแค้น เหมือนกับว่าถูกหลอกให้ทำดี ไหนว่าบุญ ไหนว่าธรรมะจะคุ้มครองฉัน แล้วทำไมฉันถึงเป็นมะเร็ง ขนาดคนที่ไม่รักษาศีล กินเหล้าเมายา ยังมีสุขภาพดี พวกที่ลักขโมย คอร์รัปชั่นทำไมมันไม่เป็นมะเร็ง แต่ฉันทำความดีมาตลอดกลับเป็นมะเร็ง เขายอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงมีความทุกข์มาก กราดเกี้ยว ไม่ใช่กราดเกรี้ยวชะตากรรมเท่านั้น แต่ยังกราดเกรี้ยวกับคนที่อยู่รอบตัว ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล หาความสงบไม่ได้เลย ตอนใกล้จะตายก็ทุรนทุราย สุดท้ายก็ตายไม่สลบ มะเร็งทำให้เจ็บปวดก็จริง แต่มันก็ไม่เท่ากับความรู้สึกทุกข์ใจเพราะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวไม่ได้ ว่าทำไมทำบุญทำกุศลแล้วต้องมาเจอแบบนี้
อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมก็จริงแต่เป็นคนรักษาสุขภาพ กินอาหารธรรมชาติ อาหารชีวจิต ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า รวมทั้งกินวิตามินและสารอาหารทั้งหลายที่ป้องกันมะเร็ง เช่น ยาต้านอนุมูลอิสระ รู้ว่ามีอะไรดีก็ไปขวนขวายหามา สาหร่ายที่ช่วยต่อต้านมะเร็งก็ไปซื้อมาทั้ง ๆ ที่ราคาแพงมาก แต่วันหนึ่งพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เธอมีปฏิกิริยาคล้ายคนแรก คือ โกรธ ตีโพยตีพายว่าทำไมต้องเป็นฉัน เธอรู้สึกผิดหวังอย่างแรง ก้าวร้าวต่อผู้คนรอบข้างเช่นเดียวกับคนแรก และทุรนทุรายตลอดเวลาที่นอนป่วย ในที่สุดก็ตายไม่สงบ
ที่ตายไม่สงบไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดของมะเร็ง แต่เป็นเพราะใจที่ไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมถึงไม่ยอมรับ เพราะมีความคาดหวังว่ากินอาหารสุขภาพ ใช้ชีวิตถูกต้อง ต้องไม่เป็นอะไร แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ใจก็เลยไม่สงบ จิตใจรุ่มร้อน ซึ่งก็ซ้ำเติมความทุกข์กายให้หนักหนาสาหัสกว่าเดิม ต่างกับบางคนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง ก็ยอมรับได้ทั้ง ๆ ที่เป็นมะเร็งที่รุนแรง น่ากลัว น่าเกลียด
มีหมอคนหนึ่งเล่าว่าได้รับหมอบหมายให้ไปเยี่ยมคนไข้คนหนึ่ง คนไข้คนนี้เป็นมะเร็งที่ใบหน้า มะเร็งกัดใบหน้าจนเป็นรูใหญ่ คนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้มีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงมาก ในอเมริกาสถิติการฆ่าตัวตายสูงถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะทั้งเจ็บปวด ทั้งอับอายขายหน้า ไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คน ส่วนคนอื่นก็ไม่อยากเข้าหาเพราะทั้งกลัวทั้งรังเกียจ ที่สำคัญคือ คนที่เป็นมะเร็งชนิดนี้จะต้องเก็บตัวอยู่ในบ้าน ออกไปไหนไม่ได้ เพราะแพ้แสง เจอแสงจ้าจะรู้สึกเจ็บปวด พอเก็บตัวอยู่คนเดียวนาน ๆ ก็จะรู้สึกหดหู่และเครียด จนไม่อยากมีชีวิตอยู่
เมื่อหมอรู้ว่าจะไปเจอคนไข้คนนี้ก็หนักใจ เพราะไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของเขาได้หรือไม่ แต่พอเจอคนไข้ กลับพบว่าเขาโอภาปราศรัยดี ต้อนรับเหมือนคนปกติ เพียงแต่พูดไม่ค่อยถนัด บ้านของเขาปิดมืดทึบเพราะว่าเจอแสงแดดไม่ได้ แต่คนไข้ไม่มีอารมณ์หดหู่หรือกราดเกรี้ยวเหมือนกับคนที่ป่วยด้วยมะเร็งชนิดเดียวกัน คุยไปคุยมาเขาก็เล่าว่าตอนเป็นหนุ่มเขาเป็นคนเสเพล กินเหล้า สูบบุหรี่ เอาแต่เที่ยว ครั้นแต่งงานมีครอบครัว ภรรยาก็ขอหย่า ลูกไปอยู่กับภรรยา เขาคิดว่าที่เขาเป็นมะเร็งก็คงเพราะใช้ชีวิตแบบนี้ ลึก ๆ เขาคงรู้สึกว่าสมควรแล้วที่เขาต้องเป็นมะเร็ง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขายอมรับมะเร็งได้
เหตุผลสำคัญก็คือ ระหว่างที่ล้มป่วย พออยู่ในบ้านไปไหนไม่ได้ก็เลยเปิดดูข่าว CNN ทั้งวัน วันแล้ววันเล่าเขาก็ได้คิดว่าคนเราไม่ว่าเชื้อชาติใดภาษาใดล้วนแต่มีความทุกข์ทั้งนั้น บางคนตายเพราะแผ่นดินไหว บางคนตายเพราะไฟไหม้ บางคนพิการเพราะน้ำท่วม หรือล้มป่วยเพราะโรคระบาด เขาพบว่าคนเราล้วนมีความทุกข์ทั้งนั้น เขาจึงรู้สึกว่าความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ความทุกข์ที่เกิดกับเขาเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้งโลก เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็เลยยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้
จะพูดว่าเขาพบธรรมจาก CNN ก็ได้ บางคนพบธรรมจากหนังสือธรรมะ จากการฟังเทศน์ แต่คนนี้เขารู้ธรรมจากข่าว คนเป็นอันมากดูข่าวแต่ไม่เกิดความรู้ทางธรรมะเลย แต่ผู้ชายคนนี้เกิดเข้าใจธรรมะขึ้นมา คือเห็นว่าความทุกข์เป็นธรรมดาของชีวิต ก็เลยยอมรับความเจ็บป่วยได้ เขาไม่ทุรนทุราย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีเวลาอยู่แค่ ๔-๖ เดือน ตามที่หมอคาดการณ์ไว้ แต่เขาพยายามที่จะรักษาชีวิตของตนให้นานที่สุด จะได้มีโอกาสอยู่กับลูกนาน ๆ เพราะที่ผ่านมาเหินห่างจากลูกมาก ปรากฏว่าเขาอยู่ได้นานเป็นปี แล้วก็ตายโดยไม่ได้ทุรนทุรายเหมือนกับ ๒ คนแรก
อันนี้ดูเหมือนไม่เป็นธรรม ทำไมคนที่ชอบทำบุญกุศลจึงตายอย่างทรมาน ขณะที่อีกคนเที่ยวสำมะเลเทเมาแต่ว่าตายสงบ ที่จริงแล้วคนเราจะตายสงบหรือทรมาน ไม่ได้อยู่ที่ว่าอดีตเคยทำอะไรมา นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าทำใจอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คนบางคนชอบเข้าวัด หมั่นทำบุญ แต่วางใจไม่ถูก ทำด้วยความคาดหวังว่าต้องแคล้วคลาดจากอันตราย ไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าทำบุญด้วยความคาดหวังแบบนี้ ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง เพราะคนเรายังไงก็ต้องเจ็บป่วย พอป่วยก็จะยอมรับไม่ได้ อันนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไม่ถูกก็ได้
อีกคนหนึ่งแม้จะห่างธรรมะ แต่ในที่สุดก็เข้าใจธรรมะขั้นพื้นฐาน แม้จะเป็นการเรียนรู้จากข่าวโทรทัศน์ก็ตาม ความเข้าใจดังกล่าวทำให้เขายอมรับความจริงที่เลวร้ายได้ ใจจึงสงบ ไม่ทุรนทุราย อาตมาจึงอยากจะย้ำว่า อะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ทุกข์ทรมานจนอยากตาย ตรงกันข้าม แม้เจอเรื่องหนัก ๆ แต่ใจยอมรับได้ ก็สามารถพบความสงบได้
ที่มา http://www.visalo.org/article/suksala21.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น